1. ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำสถิติสูงสุดใหม่ หนุนโดยผลประกอบการ Alphabet
2. ECB คงดอกเบี้ยนโยบาย ส่งสัญญาณ Wait and See – ปรับลดโอกาสลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ลง
3. ทรัมป์บอกไม่จำเป็นต้องปลด Powell หลังเยี่ยมโครงการปรับปรุงเฟด
4. สหราชอาณาจักร–อินเดีย เซ็นข้อตกลงการค้าเสรี ลดภาษี-เปิดตลาด
5. สี จิ้นผิงเรียกร้องจีน–EU เสริมเสถียรภาพโลกผ่านความร่วมมือทวิภาคีที่มั่นคง
6. JD.com เจรจาซื้อกิจการ Ceconomy มูลค่า €2.2 พันล้าน
7. ยอดขาย LVMH ลดลงต่อเนื่อง หลังอุปสงค์ในญี่ปุ่น–จีนซบเซา
8. ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา สร้าง Sentiment เชิงลบต่อหุ้นที่มีรายได้จากกัมพูชา
1. ดัชนี S&P 500 ปิดที่ระดับสูงสุดใหม่ หลังผลประกอบการของ Alphabet ตอกย้ำความต้องการ AI ดันหุ้นเทคฯ นำโดย Nvidia ทำจุดสูงสุดใหม่ แม้ Tesla ร่วงกว่า 8% จากคำเตือนของ Musk ด้านพันธบัตรปรับตัวลงต่อเนื่อง อัตราผลตอบแทน 10 ปี ขยับขึ้นแตะ 4.41% หลังตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 นักลงทุนปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยปีนี้เหลือน้อยกว่า 2 ครั้ง ขณะเดียวกัน ตลาดยังจับตาการเจรจาการค้า EU–US และท่าทีเฟดก่อนประชุมสัปดาห์หน้า
2. ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจคงดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด หลังปรับลดต่อเนื่องมาแล้ว 8 ครั้งตั้งแต่กลางปี 2024 โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้ที่ต้องการให้ลดดอกเบี้ยต่อเผชิญแรงต้านมากขึ้น เพราะเงินเฟ้อกลับมาอยู่ที่ 2% ซึ่งเป็นระดับเป้าหมาย และเศรษฐกิจยูโรโซนยังรับมือแรงกดดันจากสงครามการค้าได้ ประธาน ECB คริสติน ลาการ์ด ระบุว่า ขณะนี้ธนาคารอยู่ในโหมด “รอดูท่าที” โดยจะประเมินผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. ขณะที่ตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยเดือน ก.ย. เหลือเพียง 25% จาก 40% ขณะที่นักลงทุนยังจับตาความคืบหน้าดีลการค้าสหรัฐฯ-อียูและมาตรการตอบโต้ซึ่งอาจกระทบการลงทุนในภูมิภาค
3. ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าไม่มีความจำเป็นต้องปลดประธานเฟด Jerome Powell หลังเยี่ยมชมโครงการปรับปรุงอาคารสำนักงานใหญ่เฟด แม้จะวิจารณ์เรื่องงบปรับปรุงบานปลาย โดยย้ำว่าประเด็นดอกเบี้ยที่ต้องลดลงเป็นสิ่งสำคัญกว่า ทรัมป์ยังแซว Powell ต่อหน้าสื่อเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเกินงบและการดำเนินโครงการ แต่ยืนยันว่าไม่มีความตึงเครียดระหว่างกัน พร้อมคาดว่า Powell จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ขณะที่เฟดคาดว่าจะคงดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า ก่อนทยอยลดดอกเบี้ยอย่างระมัดระวังภายในสิ้นปี
4. สหราชอาณาจักรและอินเดียบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีครั้งใหญ่ ลดภาษีสินค้ากว่า 90% สำหรับการส่งออกจากอังกฤษ และลดภาษีสินค้าจากอินเดียถึง 99% รวมถึงภาษีนำเข้าเหล้าและรถยนต์ โดยถือเป็นดีลการค้าที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษหลัง Brexit และดีลสำคัญที่สุดของอินเดียในรอบทศวรรษ นายกฯ Keir Starmer คาดว่าดีลนี้จะเพิ่ม GDP อังกฤษ 4.8 พันล้านปอนด์ต่อปี ขณะที่ นายกฯ อินเดีย Modi ชี้ว่าสินค้าอินเดียจะเข้าถึงตลาดอังกฤษได้มากขึ้น ข้อตกลงนี้ยังปูทางความร่วมมือในด้านเทคโนโลยี พลังงาน และการป้องกันประเทศ
5. ปธน. สี จิ้นผิง พบกับประธานคณะมนตรียุโรป อันโตนิโอ คอสตา และประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ในการประชุมสุดยอดจีน–EU ครั้งที่ 25 ที่ปักกิ่ง พร้อมเสนอ 3 แนวทางหลัก: ยึดมั่นความเคารพซึ่งกันและกันและมอง EU เป็นหุ้นส่วนสำคัญ, เปิดกว้างและเสริมความร่วมมือด้านเขียว–ดิจิทัล รวมถึงจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์, และร่วมปกป้องพหุภาคีนิยมเพื่อรักษาระเบียบโลกและแก้ปัญหาสากล เช่น ภาวะโลกร้อน EU ย้ำไม่มุ่งตัดขาดจากจีนและพร้อมต้อนรับการลงทุนจากภาคธุรกิจจีน
6. JD.com ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีนอยู่ระหว่างการเจรจาขั้นสูงเพื่อเข้าซื้อกิจการ Ceconomy ผู้ค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์เยอรมัน มูลค่าราว €2.2 พันล้าน (2.6 พันล้านดอลลาร์) โดยเสนอซื้อหุ้นละ €4.60 คิดเป็นพรีเมียม 23% จากราคาปิดล่าสุด Ceconomy ยืนยันการเจรจาแต่ยังไม่มีข้อตกลงผูกพัน ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่ง 15.5% สูงสุดตั้งแต่ปี 2021 การซื้อกิจการนี้จะช่วยให้ JD.com ขยายธุรกิจในยุโรป ผ่านเครือข่ายร้าน MediaMarkt และ Saturn ของ Ceconomy หากดีลสำเร็จจะถือเป็นก้าวสำคัญของ JD.com ในการเจาะตลาดยุโรปและกระจายรายได้
7. LVMH รายงานยอดขายไตรมาส 2 ลดลงต่อเนื่อง โดยรายได้จากแผนกแฟชั่นและเครื่องหนังร่วง 9% แย่กว่าคาดที่ -7.8% สะท้อนการใช้จ่ายที่ชะลอลงในสินค้าหรูอย่างกระเป๋า Louis Vuitton และเสื้อผ้า Dior โดยเฉพาะในจีนและญี่ปุ่น ขณะที่ยอดขายในสหรัฐฯ ทรงตัวและมีกำไรจากการดำเนินงานครึ่งปีอยู่ที่ 9 พันล้านยูโร (-15% YoY) หุ้น LVMH ร่วงราว 30% ในรอบ 12 เดือน CFO ระบุว่าดีลภาษี EU–US ที่อาจจบที่อัตรา 15% ถือเป็น “ผลลัพธ์ที่ดี” เพราะสินค้าของ LVMH ยังมีอำนาจการตั้งราคา ทำให้สามารถดูดซับภาษีได้โดยไม่กระทบดีมานด์มากนัก และช่วยคลายแรงกดดันเชิงมหภาค–ความเชื่อมั่นผู้บริโภค
8. กัมพูชาเปิดฉากโจมตีในช่วงเช้าวานนี้และลุกลามใน 6 พื้นที่บริเวณชายแดน สร้าง Sentiment เชิงลบต่อหุ้นที่ประกอบธุรกิจ, ลงทุน หรือมีรายได้จากกัมพูชา เช่น กลุ่มอาหาร, ค้าปลีก, การแพทย์ และวัสดุก่อสร้าง ด้านสหรัฐฯ, UK, ฟิลิปปินส์ และอิราเอลแจ้งเตือนพลเมืองเลี่ยงเดินทางหรือท่องเที่ยวใกล้บริเวณชายแดน
ประเด็นที่ต้องติดตาม: Durable Goods Orders MoM ของสหรัฐฯ เดือน มิ.ย. คาดว่าจะออกมาที่ -9% จากก่อนหน้าที่ 16.4%