1. ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งแรงสุดตั้งแต่พ.ค. หนุนโดยแรงซื้อหลังการย่อตัวและคาดเฟดลดดอกเบี้ย
2. EU ประกาศเลื่อนเก็บภาษีตอบโต้สหรัฐ 6 เดือน เปิดทางเจรการค้าเพิ่ม
3. ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าอินเดียเพิ่ม หลังไม่หยุดซื้อพลังงานรัสเซีย
4. ฮ่องกงปรับเกณฑ์ IPO หนุนดึงบริษัทยักษ์ใหญ่จดทะเบียนต่อเนื่อง
5. จีนเตรียมเก็บภาษีดอกเบี้ยพันธบัตร หลังยกเว้นมานานหลายทศวรรษ
6. Tesla อนุมัติหุ้น 3 หมื่นล้านดอลลาร์ให้ Musk เพื่อคงตำแหน่ง CEO
7. Goldman Sachs เตือนราคาน้ำมันดิบมี Upside Risk
8. ไทย-สหรัฐฯ เตรียมออกแถลงการณ์และลงนามข้อตกลงการค้า
Bites for Breakfast
By INVX Investment Products & Strategy
05 August 2025
1. ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5% สูงสุดตั้งแต่เดือนพ.ค. จากแรงซื้อเก็งกำไรและความเชื่อมั่นต่อผลประกอบการ ขณะที่นักลงทุนคาดเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. (โอกาสราว 85%) หุ้นเทคเมกะแคปนำตลาดโดย Nvidia และ Meta พุ่งกว่า 3.5% Russell 2000 บวก 2.1% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีสหรัฐลดลง 2bps ที่ 4.20% ขณะที่น้ำมัน WTI ร่วง 1.8% และทองคำบวก 0.4% นักลงทุนยังจับตาการประมูลพันธบัตรสหรัฐ 125 พันล้านดอลลาร์และพัฒนาการด้านการค้า
2. สหภาพยุโรป (EU) ประกาศเลื่อนการบังคับใช้มาตรการตอบโต้ภาษีสหรัฐที่เดิมจะมีผล 7 ส.ค. ออกไป 6 เดือน หลังประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน บรรลุข้อตกลงการค้ากับ ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 27 ก.ค. ข้อตกลงดังกล่าวรวมถึงการเก็บภาษี 15% ต่อสินค้าส่วนใหญ่จากยุโรปที่ส่งไปสหรัฐ และการยกเลิกภาษีสินค้าสหรัฐในยุโรปหลายรายการ โดยทรัมป์ระบุว่า EU จะซื้อพลังงานจากสหรัฐมูลค่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์ และลงทุนเพิ่มอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ แต่ยังไม่ชัดเจนถึงรายละเอียดการดำเนินการ การเลื่อนมาตรการตอบโต้ช่วยคลายแรงกดดันการค้าสหรัฐ–EU ชั่วคราว หนุน Sentiment การลงทุน
3. ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีอย่างมีนัยสำคัญต่อสินค้าส่งออกอินเดีย หลังกล่าวหาอินเดียซื้อและขายน้ำมันรัสเซียทำกำไร แม้เพิ่งขึ้นภาษีนำเข้าไปแล้ว 25% ซึ่งถือว่าสูงสุดในบรรดาประเทศเศรษฐกิจใหญ่ อินเดียตอบโต้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมและยืนยันจะดำเนินนโยบายพลังงานเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ สถานการณ์ตึงเครียดนี้เกิดขึ้นก่อนเส้นตาย 8 ส.ค. ที่สหรัฐตั้งให้รัสเซียทำข้อตกลงหยุดยิง และขู่คว่ำบาตรประเทศที่ซื้อน้ำมันรัสเซียเพิ่มเติม ความตึงเครียดการค้าสหรัฐ–อินเดียเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดหุ้นอินเดียและค่าเงินรูปี
4. ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงปรับเกณฑ์ IPO ลดสัดส่วนหุ้นขั้นต่ำที่ต้องกระจายสู่สาธารณะจาก 15% เหลือ 10% สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ และปรับสัดส่วนจัดสรรหุ้นรายย่อยใน IPO ลดเหลือสูงสุด 35% จาก 50% เพื่อดึงดูดบริษัทจีนเข้ามาจดทะเบียนเพิ่มและเสริมเสถียรภาพราคา IPO นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการนี้ช่วยรักษาความร้อนแรงของตลาด IPO ซึ่งคาดว่าปีนี้มูลค่าระดมทุนจะทะลุ 22,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมเปิดทางให้สถาบันถือหุ้นมากขึ้นและลดความผันผวนจากแรงเก็งกำไรรายย่อย ประเด็นนี้บวกต่อ Sentiment และช่วยเสริมปัจจัยพื้นฐานของหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง
5. กระทรวงการคลังจีนประกาศเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 6% จากดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น และสถาบันการเงิน เริ่ม 8 ส.ค. นี้ พันธบัตรที่ออกก่อนหน้ายังคงได้รับยกเว้น ส่งผลให้นักลงทุนเร่งซื้อพันธบัตรเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีใหม่ กดอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 30 ปีลงสู่ 1.94% นักวิเคราะห์คาดช่องว่างผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรเดิมและใหม่อาจกว้างขึ้น 5–10bps เราประเมินว่านโยบายเก็บภาษีดอกเบี้ยพันธบัตรช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐบาลจีน เสริมศักยภาพด้านการคลังสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต ขณะเดียวกันยังหนุน Sentiment ต่อหุ้นจีน ให้ดูน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับพันธบัตร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารเนื่องจากได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น
6. Tesla อนุมัติให้ Elon Musk รับหุ้นมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ (96 ล้านหุ้น ราคาใช้สิทธิ 23.34 ดอลลาร์) หากดำรงตำแหน่ง CEO ต่ออีก 2 ปี โดยบอร์ดระบุว่าเป็น “การจ่ายด้วยความสุจริตใจ” และจะจัดทำแผนค่าตอบแทนระยะยาวเสนอผู้ถือหุ้นในประชุม 6 พ.ย. นักลงทุนและนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าช่วยคลายความกังวลและยืนยันบทบาท Musk ในการขับเคลื่อนธุรกิจ แม้ยอดขายรถ EV ลดลงต่อเนื่องและราคาหุ้นปีนี้ร่วงกว่า 25%
7. Goldman Sachs เตือนราคาน้ำมันดิบมี Upside Risk หลังตลาดน้ำมันเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากอุปทานน้ำมันรัสเซียและอิหร่านที่ถูกคว่ำบาตร ขณะที่แรงกดดันต่ออุปสงค์น้ำมันมีแนวโน้มลดลงหลังมาตรการภาษีศุลกากรมีความชัดเจน อย่างไรก็ตามยังคงคาดการณ์ราคา Brent เฉลี่ยที่ US$64/bbl ในช่วง 4Q68 และ US$56/bbl ในปี 2569
8. ไทย-สหรัฐฯ เตรียมออกแถลงการณ์และลงนามข้อตกลงการค้า โดยสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรไทยในอัตรา 19% และจะมีผลตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. เป็นต้นไป ส่วนรายละเอียดจะรอให้สหรัฐฯ นัดเจรจาเป็นประเด็นๆ ไป และจะนำมาหารือและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และสุดท้ายจะขอความเห็นชอบจาก ครม. และรัฐสภาตามขั้นตอนกฎหมาย
ประเด็นที่ต้องติดตาม: ISM Services PMI ของสหรัฐฯ เดือน ก.ค. คาดว่าจะออกมาที่ 51 จากก่อนหน้าที่ 50.8