1. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น รับคาดการณ์งบไตรมาส 3
2. สหรัฐฯ-ออสเตรเลียลงนามข้อตกลง รับมือการควบคุมแร่หายากของจีน
3. ทรัมป์ขู่คงภาษีนำเข้าต่ออินเดีย หากยังนำเข้าน้ำมันรัสเซีย
4. GDP จีนเติบโตดีกว่าคาดที่ 4.8% แต่เป็นการเติบโตต่ำสุดในรอบหนึ่งปี
5. ตลาดหุ้นเวียดนามร่วงแรงสุดในรอบ 6 เดือน จากความกังวลเรื่องตราสารหนี้ภาคเอกชน
6. สิทธิ์ลงทะเบียน “คนละครึ่งพลัส” ครบ 20 ล้านสิทธิ์ในวันแรก – คลังพิจารณาขยายรอบใหม่หลัง 11 พ.ย.นี้
Bites for Breakfast
By INVX Investment Products & Strategy
21 October 2025
1. ดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ ได้แก่ Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq ปรับขึ้นกว่า 1% รับความคาดหวังผลประกอบการ (earnings report) จากบริษัทใหญ่ เช่น Tesla, IBM, Netflix, Procter & Gamble และ Coca-Cola ในสัปดาห์นี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ลดลง 2.7 bps อยู่ที่ 3.982% ส่วนราคาทองคำ (gold price) พุ่งขึ้นกว่า 2.5% จากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยและคาดการณ์เฟดจะลดดอกเบี้ยอีก ดัชนี MSCI World และ STOXX 600 ของยุโรปปรับขึ้นเช่นกัน ด้านน้ำมันดิบ Brent และ WTI ปรับลดลงจากความกังวลอุปทานส่วนเกินนักลงทุนยังจับตา US government shutdown และการเจรจาการค้ากับจีน
2. ประธานาธิบดีทรัมป์และนายกรัฐมนตรีอัลบาเนซีของออสเตรเลียลงนามข้อตกลงแร่สำคัญ (Critical Minerals) เพื่อรับมือการควบคุมอุปทานแร่หายาก (Rare Earths) ของจีน ทั้งสองประเทศจะลงทุน $1 พันล้านในโครงการเหมืองและการแปรรูป พร้อมตั้งราคาฐาน (price floor) สำหรับ Critical Minerals ซึ่งรวมถึง Rare Earths, lithium และ nickel ข้อตกลงนี้ยังครอบคลุมการลดขั้นตอนอนุญาตเหมืองและความร่วมมือด้าน mapping, recycling และป้องกันการขายสินทรัพย์สำคัญด้านความมั่นคง นอกจากนี้ EXIM Bank ของสหรัฐฯ ประกาศสนับสนุนโครงการในออสเตรเลียกว่า $2.2 พันล้าน ลดการพึ่งพาจีน
3. ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันจะคงภาษีศุลกากรในอัตราสูงต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย หากอินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดยชี้ว่ารายได้จากน้ำมันช่วยสนับสนุนสงครามยูเครนของรัสเซีย แม้จะมีข้อขัดแย้งเรื่องการสนทนาระหว่างผู้นำทั้งสอง อินเดียยังคงเป็นผู้นำเข้าน้ำมันทางทะเลจากรัสเซียรายใหญ่ที่สุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 20% ในเดือน ต.ค. นี้เป็น 1.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-อินเดียยังดำเนินไปอย่างเป็นมิตร แต่ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องการลดนำเข้าน้ำมันรัสเซียในทันที
4. เศรษฐกิจจีนในไตรมาส 3 ปี 2025 ขยายตัว 4.8% YoY ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4.7% เล็กน้อย แต่ยังคงเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบหนึ่งปี สะท้อนแรงกดดันจากการชะลอตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์และการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ แม้ว่าภาครัฐจะพยายามใช้มาตรการกระตุ้นด้านโครงสร้างพื้นฐานและเครดิตเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ในขณะที่ภาคส่งออกและเทคโนโลยียังช่วยรองรับบางส่วน แต่ตลาดยังมองว่าจีนจะต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติม โดยเฉพาะผ่านการลดดอกเบี้ย หรือการเพิ่มสภาพคล่อง เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ
5. ดัชนี VN Index ร่วงลงกว่า 5.6% หลังจากสำนักงานผู้ตรวจการรัฐบาลเวียดนามเปิดเผยผลตรวจสอบพันธบัตรของบริษัท 67 แห่ง (รวมถึงธนาคาร 5 แห่ง) ที่พบการกระทำผิดหลายประการ เช่น การใช้เงินระดมทุนผิดวัตถุประสงค์ การเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วน การบริหารเงินทุนที่ไม่เหมาะสม และการชำระคืนดอกเบี้ยล่าช้า นอกจากนี้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยิ่งสั่นคลอนเมื่อ Novaland ประกาศว่าไม่สามารถชำระหนี้พันธบัตรแปลงสภาพได้ตามกำหนด ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ เช่น Vingroup, Vinhomes และ Vietcombank เป็นแรงกดดันหลักต่อดัชนี ส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยที่ใช้มาร์จิ้นสูงในช่วงตลาดปรับขึ้นแรงในช่วงก่อนหน้า ต้องเร่งขายลดพอร์ตเมื่อเกิดข่าวลบ ส่งผลให้เกิดแรงเทขายกว้างทั่วทั้งตลาด
6. กระทรวงการคลังเปิดลงทะเบียนโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ปรากฏว่ามีประชาชนแห่ลงทะเบียนเต็มจำนวน 20 ล้านสิทธิ์ ภายในเวลาเพียง 10 ชั่วโมง ถือเป็นการตอบรับอย่างล้นหลามเกินคาด นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก คาดว่าจะอัดฉีดเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 88,000 ล้านบาท เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจช่วงปลายปี โดยเฉพาะในภาคการค้าปลีกและท่องเที่ยว ทั้งนี้ ผู้ที่ได้สิทธิ์จะสามารถเริ่มใช้จ่ายผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 และต้องใช้สิทธิ์ครั้งแรกภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ และรัฐบาลจะนำโควตานั้นมาเปิดให้ลงทะเบียนรอบใหม่ในเดือน มกราคม 2569 นายเอกนิติระบุว่ากระทรวงการคลังกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการขยายสิทธิ์เพิ่มเติม เนื่องจากมีความต้องการจำนวนมากและอาจเปิด “เฟส 2” หากผลการใช้จ่ายรอบแรกเป็นไปตามเป้าหมาย
ประเด็นที่ต้องติดตาม: คำแถลงการณ์ของประธาน ECB