คาดตลาดไซด์เวย์ ประธานาธิบดีทรัมป์ประเมินว่าการเก็บภาษี 100% กับจีนไม่สามารถดำเนินได้ในระยะยาวช่วยหนุนตลาดผ่อนคลายความกังวล ในขณะที่ความกังวลของธนาคารภูมิภาคจากหนี้เสียของผู้ให้สินเชื่อรถยนต์ตลาดบางส่วนเชื่อว่าจะไม่ขยายไปวงกว้างลดแรงกดดัน ติดตามการ Action Plan พลังงาน การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน 4th Plenum เทคนิค มีโอกาสชะลอการลงสั้นที่ 1270-1266 แต่หากหลุดระวังลงรอบใหม่ แนวต้าน 1280/1286
ติดตาม Action Plan พลังงาน
ประเด็นสำคัญ
• “คนละครึ่งพลัส” ได้รับความสนใจจากฝั่งผู้ประกอบการจำนวนมาก มีร้านค้าลงทะเบียนสำเร็จ 123,960 ราย และวันนี้ (6:00 น.) จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปลงทะเบียนผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” เป็นวันแรกถึงวันที่ 26 ต.ค. 68 (22:00 น.) และจะเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่ 29 ต.ค. นี้
• BOI เคาะมาตรการเร่งรัดการลงทุนตามนโยบาย Quick Big Win ให้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อติดตามการเร่งรัดการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ที่มูลค่าสูงกว่า 1 พันลบ. ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 70 โครงการ มูลค่ารวม 3 แสนลบ. ที่ส่วนใหญ่เป็นอุตฯ ดิจิทัล (Data Center), อิเล็กทรอนิกส์, พลังงานไฟฟ้า และพัฒนานิคมฯ
• วานนี้ (19 ต.ค.) กองทัพอิสราเอลเปิดฉากโจมตีใส่ทางตอนใต้ของกาซาแม้ได้บรรลุข้อหยุดยิงไปแล้ว เนื่องจากต่างฝ่ายอ้างว่าอีกฝั่งได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงก่อน เหตุการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ความผันผวนในตลาดสินทรัพย์สินสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ล่าสุดอิสราเอลได้กลับมาบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซาอีกครั้ง
• พรรคเสรีประชาธิปไตยและพรรคนวัตกรรมญี่ปุ่นได้บรรลุข้อตกลงการจัดตั้งรัฐบาลผสมและจะมีการลงนามข้อตกลงในวันนี้ (20 ต.ค.) ซึ่งจะเปิดทางให้ ซานะเอะ ทาคาอิจิ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้ และการโหวตเลือกนายกฯ ญี่ปุ่นจะมีขึ้นในวันที่ 21 ต.ค. 68
• ก.ล.ต. ประกาศปรับเกณฑ์ให้กองทุน ThaiESG และ ThaiESGX สามารถลงทุนใน REITs และ IFs ที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อมหรือความยั่งยืนได้ จะมีผลบังคับตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2568 มองบวกต่อกลุ่มดังกล่าวจากเม็ดเงินที่จะไหลเข้ามากขึ้น ทั้งนี้กองทุนเด่นที่เราชอบ คือ DIF และ LHHOTEL
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1270-1320 ประเมินความเสี่ยงหลัก คือ สงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีนจะมีต่อเนื่องจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะเจรจาในช่วงก่อนประชุม APEC ปลายเดือน ต.ค. นี้, การประชุม คกก. พรรคคอมมิวนิสต์จีน (20–23 ต.ค.) คาดจะส่งสัญญาณสนับสนุนด้านเทคโนโลยี, การบริโภค และจำกัดการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่, เงินเฟ้อ ก.ย. ของสหรัฐฯ (24 ต.ค.) อาจมีผลต่อตลาดไม่มากนัก โดยมองเฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ และงบ 3Q68 ของ บจ. สหรัฐฯ มีแนวโน้มออกมาดีกว่าตลาดคาด โดย 6 ใน 11 กลุ่มอุตสาหกรรมคาดจะปรับตัวขึ้น YoY ได้ ด้านปัจจัยในประเทศติดตามแผนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มของรัฐบาล, ตัวเลขส่งออกไทย ก.ย. 2568 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง และงบ 3Q68 ของ บจ. ไทย โดยกลุ่มธนาคารใหญ่จะประกาศงบสัปดาห์หน้าและถัดไปจะเป็นกลุ่ม Real Sector
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหวผันผวนจากความเสี่ยงภายนอกเป็นหลัก กลยุทธ์ลงทุนแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลักและ 3 ธีมเทรดดิ้ง ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play ซึ่งคาดผลการดำเนินงาน 3Q68 จะยังเติบโตดีทั้ง QoQ และ YoY และเราแนะนำ Outperform จากแนวโน้มธุรกิจดีและราคาหุ้นยังมี Upside ได้แก่ ADVANC BCP KTB LHSC OR PTT TRUE
2. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง โดยเราคาด กนง. จะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายปีนี้อีก 1 ครั้งในเดือน ธ.ค. และปีหน้า 2 ครั้งในช่วง 1H69 อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และหุ้นที่จะมีต้นทุนการดำเนินการลดลง หรือ กำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น แนะนำ AP MTC TIDLOR
3. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่าในช่วงที่ผ่านมา แนะนำ TU GFPT KCE HANA 2) หุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากสงครามการค้าจีน-สหรัฐมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น แนะนำ WHA AMATA FTREIT และ 3) หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่จะดีขึ้น จากรัฐผลักดันนโยบายสร้างรายได้ ลดค่าครองชีพ แนะนำ CPALL CPAXT และ BJC
Daily Top Picks
KTB: มีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากโมเมนตัมกำไรสุทธิ 3Q68 คาดจะเติบโตสูงที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากประเมินกําไร FVTPL จากเงินลงทุนใน THAI 1.4 หมื่นลบ. (1 บาท/หุ้น) KTB มีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ตํ่ากว่าธนาคารใหญ่อื่นๆ มี ROE ที่ดีกว่า Valuation ถูก และคาด Div. Yield ปี 2568 ที่ราว 6.3% เป้าหมายระยะสั้น 26.50 บาท
TU: มองได้อานิสงส์จากเงินบาทกลับมาอ่อนค่า ซึ่งคาดจะเป็นหนึ่งในอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ยอดขายและกำไร 4Q68 ปรับตัวดีขึ้น YoY ขณะที่แม้ 3Q68 คาดมีกำไรปกติที่ 1.25 พันลบ. ลดลง 15%YoY จากอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนแอ แต่ยังเพิ่มขึ้น 2%QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ราคาเป้าหมายระยะสั้น 13.80 บาท
Watch for Energy Ministry’s plan
The SET is expected to move sideways. Trump said imposing 100% tariffs on imports from China imports may not be long term, easing market concerns. Some believe pressure will not spread across markets due to concerns on regional banks due to auto NPLs. Keep an eye on the Ministry of Energy’s action plan and China’s Communist Party’s 4th plenum. The index has supports at 1270/1266, while resistances are at 1280/1286.
Today’s highlights
• The "Half-Half Plus" program has attracted huge interest from shops, with 123,960 successfully registered. Today at 6:00 a.m. public registration opened via the "Pao Tang" app and will run until 10 p.m. on Oct 26, with spending to begin on Oct 29.
• The BoI approved measures to accelerate investment under the Quick Big Win program, setting up a task force to expedite large-scale projects valued over Bt1tn. Currently, there are over 70 projects valued at a combined Bt300bn, largely digital industries (data centers), electronics, electrical power and industrial estate development.
• Yesterday (Oct 19), Israeli forces launched attacks on southern Gaza despite a ceasefire agreement, with both sides claiming the other violated the truce first. This could heighten volatility in asset markets. However, Israel has since resumed enforcement of the Gaza ceasefire agreement.
• The Liberal Democratic Party and Japan Innovation Party reached a coalition government agreement to be signed today (Oct 20), paving the way for Sanae Takaichi to assume the position of Prime Minister. The vote for Japan's Prime Minister will take place on Oct 21.
• The SEC announced revised criteria allowing ThaiESG and ThaiESGX funds to invest in REITs and IFs with outstanding environmental or sustainability profiles, effective Oct 16. This is positive for these sectors via increased capital inflow. Our preferred funds are DIF and LHHOTEL.
Strategy today
In the short term, the SET is expected to fluctuate between 1270-1320 with the main risk being US-China trade tension, which is expected to continue until talks before the APEC meeting at the end of October. Other issues: a) China’s Communist Party’s 4th plenum (Oct 20-23), which is expected to signal support for technology, consumption and limited new production capacity; b) US CPI in Sep (Oct 24), which may not significantly affect markets, which expect the Fed to cut interest rate by the end of this year; and 3) 3Q25 earnings of US listed companies, expected to beat consensus as 6 out of 11 industries are expected to grow YoY. At home, follow additional economic stimulus measures, exports in Sep 2025 and 3Q25 earnings of listed companies. Banks will report this week, and rest will begin announcing results the following week. Our investment strategy is "Selective Buy".
Trading today
In the short term the SET is expected to fluctuate, pressured by external factors. Our investment strategy is "selective buy" in two main and three trading themes:
1. Earnings plays whose 3Q25 earnings are expected to grow YoY and QoQ, and on which we recommend Outperform with price upside - ADVANC, BCP, KTB, LHSC, OR, PTT and TRUE.
2. Stocks that benefit from the interest rate downcycle as we expect the MPC to cut interest rate once more this year and twice next year: companies that benefit from lower financial cost as they carry a high proportion of floating-rate debt (CENTEL, GPSC, TRUE), and those whose operating costs are reduced and/or that benefit from higher purchasing power – AP, MTC and TIDLOR.
3. Trading idea: For high-risk-takers who want to speculate: 1) stocks expected to benefit from a weaker baht – TU, GFPT, KCE, HANA; 2) stocks that may benefit from higher trade tension between US and China – WHA, AMATA and FTREIT; and 3) stocks expected to benefit from higher purchasing power, stimulated by the government policies – CPALL, CPAXT and BJC.
Daily Top Picks
KTB: There is a short-term catalyst for expectations of leading the sector in profit growth in 3Q25, driven by FVTPL gain from investment in THAI of Bt14bn (Bt1/share). It has lowest asset quality risk and higher ROE than peers. Valuation is attractive with 2025 dividend yield of 6.3%. Short-term TP is Bt26.50.
TU: As an exporter, the company benefits from a weaker baht, which will grow profit and revenue in 4Q25 YoY, after a drop of 15% YoY in 3Q25 core profit to Bt1.25bn on a weak margin, though it will grow 2% QoQ on seasonality. Short-term TP is Bt13.80.
Download EN version click >> Daily251020_E.pdf
