By INVX Investment Products & Strategy
26 กันยายน 2025
Fitch Ratings ปรับลดมุมมองเครดิต (outlook) ของไทย แต่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ BBB+
ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ปรับลดมุมมองเครดิตของประเทศไทยจาก ‘Stable’ เป็น ‘Negative’ โดยยังคงอันดับเครดิต BBB+ มีเหตุผลสำคัญจากความเสี่ยงระดับหนี้รัฐบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดย Debt to GDP อยู่ที่ 59.4% ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากในอดีต และใกล้เคียงกับค่ากลางของกลุ่ม BBB ด้านเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำราว 2% ในปีนี้ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ในขณะที่การขาดดุลงบประมาณที่คาดว่าจะดำเนินต่อเนื่องตลอดปี 2025-2026 ทั้งนี้ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและความล่าช้าในการกำหนดทิศทางนโยบายส่งผลให้เกิดความกังวลเรื่องเสถียรภาพเชิงนโยบายและการบริหารประเทศ
ตลาดมีการรับรู้ปัจจัยลบนี้ไปแล้วจาก Moody’s ที่ปรับลด outlook ไปในต้นปีที่ผ่านมา
Moody’s ได้มีการปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจาก ‘Stable’ เป็น ‘Negative’ เดือน เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับความเสี่ยงฐานะการคลังของไทยอาจอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง หนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น จากการฟื้นตัวที่ล่าช้าหลังโควิด ส่งผลให้ตลาดทุนของไทย มีแนวโน้มรับรู้ความเสี่ยงส่วนใหญ่ที่ Fitch Rating ใช้ในการปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือไปแล้ว ผลกระทบจึงมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่จำกัด
ทั้งนี้ต้องติดตามการบริหารงานของคณะรัฐมนตรีภายใต้นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และวางกรอบนโยบายการคลังให้เหมาะสม ทั้งนี้รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลังเผย รัฐบาลเตรียมทำ Medium-Term Fiscal Framework (MTFF) ฉบับใหม่ เพื่อวาง Roadmap ฟื้นฐานะทางการคลัง และช่วยสร้างความเชื่อมั่น ภายในเดือน พ.ย. 68 นี้ ซึ่งหากสามารถแก้ปัญหาฐานะทางการคลัง และการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ จะมีโอกาสให้ Fitch Ratings รวมถึง Moody’s ปรับ Outlook กลับมาที่ Stable ได้เช่นกัน
Bond Yield ของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจำกัด หลัง Fitch Ratings ปรับลด outlook
Bond Yield ของพันธบัตรไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจำกัด โดย Bond Yield 2 ปี 5 ปี 10 ปี อยู่ที่ระดับ 1.174% 1.211% และ 1.413% ตามลำดับโดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากก่อน Fitch Ratings ประกาศปรับลด outlook ที่ 3.3 bps, 4.4 bps และ 5.8 bps ตามลำดับ ในขณะที่ Bond Yield 1 ปี อยู่ที่ระดับ 1.27% ใกล้เคียงเดิม ส่งผลให้การลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว ที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไปเผชิญกับราคาตราสารหนี้ที่ลดลง (Capital loss)
คำแนะนำการลงทุนสำหรับตราสารหนี้ไทย
เราประเมินว่า การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของไทยมีผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว เหมือนที่เราได้แนะนำให้นักลงทุนปรับลดอายุตราสารหนี้ (Duration) ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดตราสารหนี้ได้รับรู้ปัจจัยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. ไปในระดับหนึ่ง เห็นได้จาก Bond Yield ของตราสารหนี้ระยะยาวที่อยู่ต่ำกว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ส่งผลให้ Bond Yield มีโอกาสปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด และอาจมีความผันผวน ทั้งนี้นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้อาจพิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศประกอบเพื่อให้ได้ Yield ที่สูงขึ้น
สำหรับกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น (ระยะเวลาถือครองต่ำกว่า 3 เดือน)
เราแนะนำกองทุน KFSPLUS-A ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจากผู้ออกภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยจะเน้นลงทุนในตราสารที่มีคุณภาพสูง และมุ่งหวังให้อายุเฉลี่ยของตราสารในพอร์ตอยู่ที่ราว 1-6 เดือน (ปัจจุบัน 1 เดือน 22 วัน)
KFSMART-A (ระยะเวลาถือครองมากกว่า 3 เดือน - 1 ปี) ซึ่งกระจายลงทุนในตราสารหนี้จากภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยจะเน้นลงทุนในตราสารที่มีคุณภาพดี และมุ่งหวังให้อายุเฉลี่ยของตราสารในพอร์ตอยู่ที่ราว 6 เดือน - 1 ปี (ปัจจุบัน 4 เดือน 15 วัน)
สำหรับกองทุนตราสารหนี้โลก
เราแนะนำกองทุน K-GDBOND-A(A) ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO GIS Incomeที่กระจายลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงทั่วโลก โดยมีกลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับเปลี่ยน Duration ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด (ปัจจุบัน 5.25 ปี)
Source: KSAM as of 31 July 2025; PIMCO as of 31 August 2025