By INVX Investment Products & Strategy
8 ตุลาคม 2025
FTSE EM อัปเกรด Vietnam แต่ยังต้องรอการทบทวนครั้งสุดท้าย
เวียดนามได้รับการประกาศอัปเกรดสู่ Secondary Emerging Market โดย FTSE Russell เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2025 แต่มาพร้อมกับเงื่อนไขที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของ FTSE คือ การมี "Interim Review Period" หรือช่วงการทบทวนระหว่างกาล ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้จริงในวันที่ 21 กันยายน 2026
เวียดนามเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในประวัติศาสตร์ของ FTSE Russell ที่ได้รับการอัปเกรดพร้อมกับการกำหนดช่วง "Interim Review" ประเทศอื่นๆ ที่เคยได้รับการอัปเกรดในอดีต อาทิ กาตาร์ในปี 2013-2014, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ซาอุดีอาระเบีย, คูเวต และปากีสถาน ล้วนได้รับการอัปเกรดโดยตรงโดยไม่มีช่วงทบทวนระหว่างกาล ความพิเศษนี้สะท้อนถึงความระมัดระวังของ FTSE ที่มีต่อตลาดทุนเวียดนามในด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค
เหตุใดเวียดนามจึงถูกกำหนดเงื่อนไขพิเศษ?
FTSE Russell ระบุว่าการอัปเกรดนี้มีเงื่อนไขให้ทำการทบทวนระหว่างกาลในเดือนมีนาคม 2026 เพื่อตรวจสอบว่าตลาดทุนเวียดนามมีความคืบหน้าเพียงพอในการเปิดให้ Global Brokers เข้าถึงตลาดได้ตามเกณฑ์หรือไม่ ปัจจัยหลักที่ทำให้ FTSE ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษมีสามประการ
1. การปฏิรูประบบใหม่
เวียดนามเพิ่งยกเลิกระบบ Full Pre-funding Requirements สำหรับนักลงทุนต่างชาติเมื่อปลายปี 2024 FTSE ต้องการตรวจสอบว่าระบบ Non-prefunding model ใหม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในทางปฏิบัติ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นการปฏิรูปที่สำคัญและเป็นเงื่อนไขหลักที่ทำให้เวียดนามผ่านการพิจารณาเบื้องต้น แต่ FTSE ต้องการเห็นผลการดำเนินงานจริงในระยะเวลาที่เพียงพอก่อนยืนยันการอัปเกรด
2. โครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน
ตลาดเวียดนามยังทำการซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศเป็นหลัก ยังไม่มีการใช้บริการ Global Brokers ระดับสากลอย่าง Citi หรือ HSBC อย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นข้อกังวลสำคัญเกี่ยวกับการเข้าถึงตลาดของนักลงทุนสากล การที่นักลงทุนสถาบันต่างชาติต้องใช้บริการผ่านตัวกลางในประเทศอาจสร้างความไม่สะดวกและเพิ่มความเสี่ยงในการเข้าถึงตลาด
3. บทเรียนจากอดีต
FTSE เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกรณีปากีสถานที่ประกาศอัปเกรด "เร็วเกินไป" ทำให้ตลาดเกิดปัญหาทางเทคนิคหลังจากการอัปเกรด จึงทำให้ FTSE ต้องระมัดระวังมากขึ้นกับตลาดขนาดใหญ่อย่างเวียดนาม การเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตทำให้ FTSE ปรับกระบวนการพิจารณาให้เข้มงวดและรอบคอบมากขึ้น โดยเฉพาะกับตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีศักยภาพดึงดูดเงินทุนจำนวนมาก
การทบทวนนี้ไม่ใช่ข้อสงสัยเชิงนโยบาย แต่เป็นขั้นตอนความระมัดระวังทางเทคนิคของ FTSE ในตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกระแสเงินทุนที่จะไหลเข้าสู่ตลาดในระยะสั้น
กำหนดการและความไม่แน่นอนที่ต้องติดตาม
มีนาคม 2026 จะเป็นช่วงเวลาที่ FTSE ทำการ Interim Review เพื่อประเมินความคืบหน้าของตลาดเวียดนาม ตามด้วยการประกาศผลการทบทวนในต้นเมษายน 2026 และหากผ่านการทบทวน วันที่ 21 กันยายน 2026 จะเป็นวันที่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ แม้โอกาสที่จะถูกถอนจากแผนการอัปเกรดจะต่ำ แต่หากเวียดนามไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าในการเปิดให้ Global Brokers เข้าถึงตลาดได้อย่างเพียงพอ การอัปเกรดอาจถูกเลื่อนออกไปหรือมีเงื่อนไขเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของตลาดและการไหลเข้าของเงินทุน
ผลกระทบต่อ Fund Flow: ความคาดหวังที่ต้องชะลอลง
กระแสเงินทุนจาก Active Investors อาจชะลอตัว แม้ว่ามีการคาดการณ์ว่ากระแสเงินทุนจาก Active Investors จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามทันที แต่การมี Interim Review Period อาจทำให้นักลงทุนสถาบันอาจต้องชะลอการตัดสินใจลงทุนจนกว่าจะมีความชัดเจนจากการทบทวนในเดือนมีนาคม 2026 ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลให้นักลงทุน Active จำนวนหนึ่งอาจชะลอการเข้าซื้อหุ้นเวียดนามจนกว่าจะได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2026
Passive Investors: ต้องรอจนถึงกันยายน 2026 เนื่องจากการเกิด Inclusion หรือการที่ FTSE Russell เริ่มรวมหุ้นเวียดนามเข้าสู่ดัชนี FTSE EM อย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2026 ไม่ใช่มีนาคม 2026 ตามที่คาดการณ์เดิม ซึ่งช้ากว่าที่คาดหวังไว้ประมาณ 6 เดือน กองทุนดัชนี (Passive Funds/ETF) ต้องรอจนถึงกันยายน 2026 ถึงจะเริ่มปรับพอร์ตลงทุนในหุ้นเวียดนามตามสัดส่วนที่กำหนดในดัชนี โดยน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเวียดนามของดัชนี FTSE EM คาดว่าจะอยู่ราว 0.3-0.5% ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งแปลเป็นมูลค่าเงินทุนประมาณ 3.5-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากกองทุนดัชนีทั่วโลก
ข้อมูลจาก Reuters สะท้อนความระมัดระวังของนักลงทุน
แม้ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN-Index) จะปรับตัวขึ้นได้ถึง 33% ในปี 2025 และทำสถิติสูงสุดหลายครั้งตลอดปี แต่นักลงทุนต่างชาติกลับขายทำกำไรมูลค่ารวม 2.6 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน 2025 พฤติกรรมนี้สะท้อนถึงความระมัดระวังและการล็อคกำไรหลังจากที่ตลาดปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งแรกของปี การขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีข่าวดีเรื่องการอัปเกรด แต่นักลงทุนสถาบันยังคงมีความระมัดระวังและเลือกที่จะทำกำไรบางส่วนออกมาก่อน รอให้มีความชัดเจนมากขึ้นก่อนที่จะกลับมาลงทุนเพิ่มอีกครั้ง
ด้านเศรษฐกิจเวียดนาม: ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องการอัปเกรด เศรษฐกิจของเวียดนามยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติทั่วไป (General Statistics Office) ระบุว่า GDP ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 ขยายตัวสูงถึง 8.23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้การเติบโตในช่วง 9 เดือนแรกของปีขยายตัวเฉลี่ยที่ 7.85% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบ 11 ปี หากไม่นับรวมปี 2022 ซึ่งเป็นผลจากฐานที่ต่ำหลังการฟื้นตัวจากโควิด-19
การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้สูงกว่าการประมาณการของ World Bank ที่คาดว่า GDP ของเวียดนามจะเติบโตเพียง 6.6-6.8% ในปี 2025-2026 อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และภาคบริการ ซึ่งยังคงแข็งแกร่งและสะท้อนถึงอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงไหลเข้าอย่างต่อเนื่องจากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะจากจีนและเกาหลีใต้ แม้เผชิญกับการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
ภาพรวมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งนี้ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและเป็นปัจจัยพื้นฐานที่รองรับการประเมินมูลค่า (Valuation) ของตลาดในระดับที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีนี้ยังไม่เพียงพอที่จะขจัดความกังวลเรื่องความไม่แน่นอนจากการทบทวนของ FTSE ได้อย่างสมบูรณ์
หมุดหมายถัดไป: การเข้าสู่ MSCI EM แต่อาจล่าช้าออกไป
ความทะเยอทะยานของรัฐบาลเวียดนามไม่ได้หยุดอยู่แค่การได้รับการยอมรับจาก FTSE แต่ยังมองไปถึงเป้าหมายที่ใหญ่และท้าทายกว่า นั่นคือการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี MSCI Emerging Market ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนที่อ้างอิงอยู่มหาศาลกว่า FTSE มาก โดยมีสินทรัพย์ที่ติดตามดัชนี MSCI EM มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ FTSE EM ที่มีประมาณ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายระยะยาวผ่านแผน Decision 2014/QĐ-TTg โดยคาดว่าเวียดนามจะเข้าสู่ Potential Upgrade List ของ MSCI EM ในช่วงปี 2026-2027 และตั้งเป้าหมายให้ผ่านเกณฑ์ MSCI ทั้ง 18 ข้อภายในปี 2030 โดยเฉพาะเรื่อง Free Market Access, CCP (Central Counterparty), การเปิดเผยข้อมูล และ Foreign Ownership Limit ซึ่งยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องแก้ไข
อย่างไรก็ตาม เกณฑ์การพิจารณาของ MSCI มีความเข้มงวดและครอบคลุมในมิติที่กว้างกว่า FTSE อย่างมาก รัฐบาลจึงต้องประสานงานกับ MSCI เพื่อปรับระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ให้ตอบโจทย์มาตรฐานสากลในด้าน Clearing, Settlement และ Account Opening การปฏิรูปเหล่านี้ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและระเบียบข้อบังคับหลายฉบับ
การที่เวียดนามยังคงอยู่ในสถานะ "รอการทบทวน" จาก FTSE อาจส่งผลกระทบต่อแผนการเข้าสู่ MSCI EM ด้วย เพราะ MSCI มักจะดูการเคลื่อนไหวและมาตรฐานที่กำหนดโดยผู้ให้บริการดัชนีรายอื่นด้วย หาก FTSE ยืนยันการอัปเกรดในเดือนเมษายน 2026 จะเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้ MSCI เห็นว่าเวียดนามพร้อมสำหรับการอัปเกรดในระดับที่สูงขึ้น
ข้อมูลเพิ่มเติม: การเคลื่อนไหวของตลาดอื่นๆ
นอกจากเวียดนาม FTSE Russell ยังได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ในวันเดียวกัน กรีซได้รับการอัปเกรดจาก Advanced Emerging สู่ Developed Market โดยมีผลบังคับใช้ 21 กันยายน 2026 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรีซผ่านการปฏิรูปตลาดทุนและเศรษฐกิจได้สำเร็จหลังจากวิกฤตหนี้สาธารณะ
ในทางตรงกันข้าม อียิปต์ถูกเพิ่มเข้าสู่รายชื่อเฝ้าระวังเพื่อพิจารณาดาวน์เกรดจาก Secondary Emerging สู่ Frontier Market เนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์บางประการ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนและข้อจำกัดในการส่งเงินออกนอกประเทศ ส่วนไนจีเรียถูกเพิ่มเข้าสู่รายชื่อเฝ้าระวังเพื่อพิจารณาอัปเกรดสู่ Frontier Market จากสถานะ Unclassified หลังจากมีการปฏิรูปตลาดทุนและผ่านเกณฑ์ขั้นต้น
การเคลื่อนไหวของตลาดอื่นๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า FTSE Russell มีกระบวนการพิจารณาที่เข้มงวดและไม่ลังเลที่จะปรับสถานะของตลาดทั้งขึ้นและลง ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด
มุมมองและกลยุทธ์การลงทุน: ต้องปรับความคาดหวัง แนวทางการลงทุนที่สมดุลยิ่งขึ้น
แม้ว่าเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามในระยะยาว แต่การมี Interim Review Period ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์ให้ระมัดระวังและสมดุลมากขึ้น เราแนะนำให้รอ หรือใช้กลยุทธ์ Buy on Dip โดยเลือกจังหวะเข้าลงทุนอย่างระมัดระวังและคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของการทบทวน เนื่องจากตลาดหุ้นเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว 33% ในปี 2025 ได้สะท้อนความคาดหวังการเข้าสู่ FTSE EM ไปแล้วบางส่วน การประกาศอัปเกรดที่มาพร้อมเงื่อนไขการทบทวนอาจทำให้ตลาดปรับฐานในระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อนักลงทุนตระหนักว่ากระแสเงินทุนจะไม่ไหลเข้ามาเร็วและมากเท่าที่คาดหวังไว้ การขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติมูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสิงหาคม-กันยายน 2025 แสดงให้เห็นถึงการล็อคกำไรหลังจากตลาดปรับตัวขึ้นสูง และอาจเป็นสัญญาณของการขายทำกำไรเพิ่มเติมในระยะสั้น
ความผันผวนในระยะสั้นอาจเพิ่มขึ้นในช่วงรอผลการทบทวนในมีนาคม 2026 นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนนี้และมองหาโอกาสในการเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับฐาน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2025 และไตรมาสที่ 1 ของปี 2026 ซึ่งอาจเป็นช่วงที่ตลาดมีการปรับตัวลง
ช่วงเวลาสำคัญที่ต้องติดตาม
ไตรมาสที่ 4 ของปี 2025 ถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 2026 จะเป็นระยะรอการทบทวนที่อาจมีความผันผวนจากความไม่แน่นอน นักลงทุนควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับความคืบหน้าในการปฏิรูปตลาดทุน โดยเฉพาะเรื่องการเปิดให้ Global Brokers เข้าถึงตลาดอย่างใกล้ชิด
มีนาคม 2026 จะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุด เมื่อ FTSE ทำการทบทวนระหว่างกาล ผลการทบทวนนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง หากผลการทบทวนออกมาเป็นบวก ตลาดจะได้รับแรงหนุนอย่างมาก แต่หากมีข้อกังวลเพิ่มเติม