by INVX Investment Strategy
14 ตุลาคม 2568
สรุปสถานการณ์
ในศุกร์วันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทุกประเภทอีก 100% มีผล 1 พฤศจิกายนนี้ พร้อมจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ เขายังขู่ว่าจะยกเลิกการประชุมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในการประชุม APEC ปลายเดือนนี้ โดยให้เหตุผลว่าจีนมีการประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลต่อความตึงเครียดทางการค้าที่มีโอกาสเร่งตัวขึ้น กดดันสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ หุ้นสหรัฐฯ S&P 500 -2.7%, Nasdaq -3.6% หุ้นจีน อ้างอิง CQQQ เป็น ETF ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของจีน ปรับตัวลดลงราว -7.8% รวมถึง Crypto currency เช่น Bitcoin ปรับตัวลดลงต่ำสุด -16% ระดับราว 102,000 ดอลลาร์ระหว่างวัน (อ้างอิงข้อมูลจาก Binance)
ทางด้านจีนได้มีการตอบโต้โดยประกาศสัญญาณชัดเจนว่าจะเริ่มเก็บ ค่าธรรมเนียมเรือสินค้า จากสหรัฐฯ ที่เข้าเทียบท่าในจีน มีผลตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป พร้อมระบุว่า “จีนไม่ต้องการสงครามการค้า” แต่ไม่กลัวหากจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ และชี้แจงว่า มาตรการคุมการส่งออก แร่หายาก (Rare Earth) ไม่ใช่การแบนการส่งออก และจะไม่กระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
สหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณที่ผ่อนคลายมากขึ้นในเวลาถัดมา เริ่มต้นจาก วันอาทิตย์ที่ 12 ต.ค. เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผยว่าเขาได้พูดคุยกับ "ทรัมป์" เรื่องภาษีจีนแล้ว และทางทรัมป์ได้ส่งสัญญาณ “ลดความตึงเครียดกับจีน” ตามมาด้วย ประธานาธิบดีทรัมป์ผ่อนปรนท่าทีลงในระยะเวลาต่อมา ในวันจันทร์ที่ 13 ต.ค. ทรัมป์มีการโพสผ่าน Social Media มีใจความสำคัญว่า “จีนไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะเรียบร้อย” พร้อมกับ สก๊อต เบสเซน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯได้ให้สัมภาษณ์ผ่าน Fox ว่า “ทรัมป์ และสี จิ้งผิง จะยังคงพบปะกันที่เกาหลีใต้ และตัวเขาเองจะยังได้ไปพบกับรองนายกรัฐมนตรีของจีนก่อนด้วย ซึ่งคาดว่า สถานการณ์ต่างๆจะผ่อนคลายลง” ส่งผลให้สถานการณ์ของตลาดหุ้นในวันจันทร์ที่ผ่านมา เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น โดยดัชนี S&P500, Nasdaq เริ่มฟื้นตัวขึ้นราว +1.56% และ +2.2% ตามลำดับ ดัชนี CSI300 และ HSTECH ปรับตัวลดลงราว -0.5% และ -1.82% ตามลำดับ ถือเป็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วดัชนีปรับตัวลดลงราว -2.75% และ -4.9% ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ในขณะที่ CQQQ ETF ฟื้นตัวขึ้นถึง +4.31% ด้าน Bitcoin มีการฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่บริเวณ 115,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ
มุมมองการลงทุน
เราประเมินว่า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีนในครั้งนี้จะเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ มีแนวโน้มไม่ลุกลามไปสู่ประเทศอื่นๆ โดยการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นเพียงการขู่เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองก่อนการเจรจาที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. นี้ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ใช้มาตลอดตั้งแต่ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ในขณะที่ท่าทีของสหรัฐฯที่เริ่มผ่อนคลายลง มีแนวโน้มช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามท่าทีของจีน หลังจาก ประกาศว่าจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมเรือสินค้าจากสหรัฐฯ ที่เข้าเทียบท่าในจีน และยังคงใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก มีโอกาสนำไปสู่ความผันผวนของตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการนโยบายกีดกันทางการค้า อาทิ การกีดกันแร่หายากของจีนที่เป็นส่วนสำคัญในการผลิตของกลุ่มเทคโนโลยี การกีดกันการส่งออกชิปและ Software สำคัญของสหรัฐฯ
สำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนในหุ้นจีนอยู่แล้ว เรายังคงแนะนำให้ถือลงทุนต่อ สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีหุ้นจีน สามารถใช้จังหวะที่ตลาดย่อตัวลงในการทยอยเข้าสะสมได้ โดยมองว่า ทั้ง 2 ประเทศยังคงมีแนวโน้มแก้ปัญหาโดยใช้การเจรจา ประกอบกับท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้นของทรัมป์ ช่วยลดความกังวลของสถานการณ์อย่างน้อยในระยะสั้น ในขณะที่เราประเมินว่า สถานการณ์ความขัดแย้งนี้อาจส่งผลให้รัฐบาลจีนมีการใช้นโยบายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศเพื่อรองรับความไม่แน่นอนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น จะช่วยจำกัด Downside ของหุ้นจีนและหนุนให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ นอกจากนี้ ระดับ Valuation ของหุ้นจีนที่อยู่ในระดับที่ไม่ตึงตัวมากอ้างอิงดัชนี CSI 300 ที่มี Forward PE ราว 14.6 เท่า Bloomberg Consensus คาดการณ์ว่า การเติบโตของ EPS ในปี 2025 และ 2026 มีแนวโน้มเติบโตในระดับ 14.2% และ 13.02% ตามลำดับ
ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เรายังคงใช้ความระมัดระวังจากระดับ Valuation ที่อยู่ในระดับสูง อ้างอิงจากดัชนี S&P500 มีระดับ Forward PE ที่ราว 22.6 เท่า Bloomberg Consensus คาดการณ์ว่า การเติบโตของ EPS ในปี 2025 และ 2026 อยู่ที่ระดับ 12.6% และ 12.7% ใกล้เคียงกับดัชนี CSI300 โดย Valuation ที่ตึงตัวอาจนำไปสู่การขายทำกำไรได้ ในภาวะที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้เราประเมินว่า กรณีที่สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น รัฐบาลสหรัฐฯ อาจไม่สามารถเร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนจีน เนื่องจากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ต้องได้รับการอนุมัติจากสภา และอาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการใช้นโยบาย เช่นเดียวกับกรณีเกิด Government Shutdown ในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวเราจึงแนะนำให้รอตลาดปรับฐานก่อนจึงเข้าสะสม
สำหรับตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่น เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น ไทย และเวียดนาม เรามองว่าผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวค่อนข้างจำกัด เนื่องจากความขัดแย้งในปัจจุบันยังเป็นประเด็น ระหว่างสหรัฐฯ และจีนโดยตรง และมีโอกาสน้อยที่จะลุกลามไปยังประเทศอื่น ทั้งนี้ หากตลาดหุ้นในภูมิภาคเหล่านี้ปรับตัวลดลง มองว่าเป็นโอกาสให้ นักลงทุนทยอยสะสมเพิ่ม โดยเฉพาะในตลาดที่พื้นฐานเศรษฐกิจยังแข็งแกร่งและได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
ด้านทองคำเราประเมินว่า ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ โดยนักลงทุนยังคงสามารถถือทองคำไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน กรณีที่เกิดสัญญาณการยกระดับความขัดแย้งได้