Key Highlights
จีนยังคงเผชิญคลื่นต่อเนื่อง เมืองฉงชิ่งที่ยังคงเผชิญอุณหภูมิทำระดับสูงสุดถึง 44°C (Reuters) ถึงขั้นสร้างผลกระทบต่อระบบส่งไฟฟ้าจีน ขณะที่ความต้องการไฟฟ้าจีนทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 1.47 ล้าน MW (China Daily) ทำให้จีนเร่งเพิ่มการผลิตไฟฟ้า ทั้งจากพลังน้ำที่พร้อมผลิตจากระดับน้ำที่เพียงพอและมีปริมาณน้ำฝนใหม่เข้ามาเติมหลังเผชิญมรสุมในช่วงสองสัปดาห์ก่อน และกลับมาใช้ถ่านหิน เช่นเดียวกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่เผชิญคลื่นความร้อนเช่นกัน โดยญี่ปุ่นกลับมาดำเนินการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน (Bloomberg)
มองเป็นปัจจัยหนุนต่อการผลิตไฟฟ้าเขื่อนบริเวณแม่น้ำโขงตามปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นจากการผลิตไฟฟ้าเขื่อนจีน โดยปริมาณน้ำในเขื่อน Nuozhadu ที่ทำระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี (Figure 2) และปริมาณน้ำฝนที่พยากรณ์ว่าจะคงอยู่ในระดับสูงตามฤดูกาลใน ส.ค. นี้ ส่วนการผลิตไฟฟ้าของเขื่อนน้ำงึม 2 และ ไซยะบุรีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องใน 3Q25F จากช่วง 2Q25 โดยช่วงดังกล่าวเขื่อนน้ำงึมผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 31.6%QoQ และ 2.0%YoY และประเมินช่วง ก.ค. - ส.ค. 2568 จะเติบโตขึ้น 41.6%YoY (Figure 3) และเช่นเดียวกับเขื่อนไซยะบุรีที่เพิ่มขึ้น 20.5%QoQ และ 19.0%YoY (Figure 4) คาดผลประกอบการจะทำสุดสูงสุดใน 3Q25F เชิงกลยุทธ์ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงสูงได้ แนะนำเก็งกำไร CKP ก่อนเข้าสู่ฤดูน้ำหลากตั้งแต่ปลาย ส.ค. เป็นต้นไป และมี Upside จากการเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาลง เนื่องจากมีสัดส่วนหนี้ที่มีภาระผูกพันดอกเบี้ยแบบลอยตัวสูงถึง 70% ส่วนราคาถ่านหินล่าสุดได้ทำระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน (Figure 5) หนุนจากความต้องการในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่จีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าถ่านหินรายใหญ่นำเข้าลดลง โดยช่วง 6M25 นำเข้า 37 ล้านตัน หรือลดลง 11.1%YoY (Figure 6, GACC) และในระยะยาวประเมินความต้องการถ่านหินโลกจากอิ่มตัวในปี 2025-2026 (IEA) แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนใน BANPU และมองเป็นโอกาสลดสัดส่วนลงทุน
สหภาพยุโรป (EU) ให้คำมั่นจะซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 3 เท่าจากปัจจุบัน หรือ 7.5 แสนล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2026-2028 หลังบรรลุข้อตกลงการค้าเมื่อวันที่ 27 ก.ค. (Platts) โดยมีเป้าหมายไปสู่การเป็นอิสระจากการพึ่งพาพลังงานรัสเซียและการลดการปล่อยมลภาวะ ผ่านการซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และการลงทุนเพิ่มเติมในพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีพลังงาน ทั้งนี้ EU มีสัดส่วนการนำเข้า LNG จากสหรัฐฯ 56% ของอุปทานทั้งหมด, น้ำมันดิบ 17%, น้ำมันสำเร็จรูป 16% และอื่นๆ เช่น เชื้อเพลิงนิวเคลียร์, เทคโนโลยี และบริการด้านพลังงาน (EC Europa)
ประเมิน EU สามารถเพิ่มการซื้อพลังงานได้เพียงบางชนิด เช่น LNG ที่ยุโรปยังนำเข้าจากรัสเซียในสัดส่วน 15% ของอุปทานทั้งหมด (Figure 7) และน้ำมันสำเร็จรูป โดยเฉพาะดีเซลที่กระทบจากการยกระดับการคว่ำบาตรครั้งล่าสุด ทำให้ไม่สามารถนำเข้าดีเซลจากอินเดียและตุรกีที่นำเข้าน้ำมันดิบรัสเซีย โดยยุโรปนำเข้าดีเซลจากทั้งสองประเทศรวมกัน 15% (Bloomberg) แต่คาดว่าจะไม่สามารถนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มได้เนื่องจากข้อจำกัดของโรงกลั่นยุโรปที่ไม่สามารถสับเปลี่ยนชนิดน้ำมันดิบได้ทันทีจากน้ำมันดิบรัสเซีย (Medium Sour) เป็นน้ำมันดิบสหรัฐฯ (Light Sweet) แต่มีความเสี่ยงที่ยุโรปจะไม่สามารถนำเข้าได้ตามเป้าหมาย จากกำลังการผลิต LNG สหรัฐฯ ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการนำเข้าทั้งจาก EU และประเทศอื่นๆ ที่ทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ในระยะสั้นมอง EU จะสามารถทยอยเพิ่มการนำเข้า LNG และดีเซล อุปทาน LNG สหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรายใหญ่ Cheniere Energy (LNG.US) มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีก 10mtpa ภายในปี 2025-2026 และนำเข้าดีเซลจากสหรัฐฯ และรวมถึงซาอุฯ ที่ส่งออกทำจุดสูงสุดใหม่ใน ก.ค. ที่ 611kBD (Platts) เพื่อชดเชยจากอินเดียและตุรกี และประเมินอุปทานน้ำมันตะวันออกกลางจะตึงตัวขึ้น เชิงพื้นฐาน สะสม PRM เมื่อราคาอ่อนตัว ซึ่งได้รับผลกระทบจำกัดจากการแย่งชิงอุปทานในตะวันออกกลางและมีการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ในอาเซียน ส่วนโรงกลั่นชอบ BCP ที่นำเข้าน้ำมันดิบส่วนใหญ่จาก Far East แนะนำรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อค่าการกลั่นเริ่มฟื้นตัว (Figure 8) โดยคาดว่าจะเป็นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของ 3Q25 ที่โรงกลั่นจีนจะเริ่มชะลอการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเพื่อสะสมสต็อกรองรับอุปสงค์ในช่วงวันหยุดยาวของจีนต้น ต.ค. นี้ ส่วนผู้ที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนเพิ่มในเทคโนโลยีพลังงานและนิวเคลียร์ เช่น NEE.US, FSLR.US, SMR.US, CCJ.US เป็นต้น
ความเสี่ยง: เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน, สถานการณ์ในตะวันออกกลาง, การเมืองในประเทศ, นโยบายพลังงานสหรัฐฯ และไทย, รัสเซีย-ยูเครน, นโยบายการผลิตของ OPEC+