Key Highlights
อุปทานน้ำมันดิบมีความเสี่ยงขาขึ้นและการแย่งชิงในตะวันออกกลาง ด้านอุปสงค์ถูกกดดัน
ราคาน้ำมันดิบเผชิญแรงกดดันจากอุปทานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลัง OPEC+ มีมติเร่งเพิ่มการผลิตอีก +547kBD ใน ก.ย. นี้ ทำให้การเพิ่มการผลิตรวมนับตั้งแต่ เม.ย. รวม +2.5MBD หรือ 2.4% ของอุปสงค์โลก เป็นการเพิ่มคืนมาตรการลดการผลิตโดยสมัครใจ 2.2MBD ก่อนกำหนดเดิมใน ก.ย. 2026 และการเพิ่มการผลิตตามโควตาของ UAE อีก +300kBD (Reuters) และรัสเซียที่ส่งออกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นหลังโรงกลั่น 3 แห่งที่หยุดการผลิตเนื่องจากถูกยูเครนโจมตี (Bloomberg) อุปสงค์เผชิญแรงกดดันเชิง Sentiment จากการเริ่มต้นบังคับใช้มาตรการภาษีการค้าสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. และการจ้างงานสหรัฐฯ ที่อ่อนแอใน ก.ค. และมีการปรับลดตัวเลขที่ได้รายงานไปก่อนหน้าใน มิ.ย. และ พ.ค. ลงอย่างมีนัยยะฯ (CNBC)
มองตลาดน้ำมันยังคงมีความไม่แน่นอนในระยะต่อไป ทั้งจากความเป็นไปได้ที่ OPEC+ จะเดินหน้าเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบต่อเพื่อเพิ่มคืนจากมาตรการลดการผลิตโดยสมัครใจ 1.66MBD ที่มีกำหนดสิ้นสุดใน ธ.ค. 2026 (Figure 2) และเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดน้ำมัน (Reuters), แรงกดดันต่ออุป-สงค์น้ำมันจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ และการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานน้ำมันดิบของประเทศที่นำเข้าน้ำมันดิบรัสเซีย เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษีการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น โดยในช่วง 1H25 อินเดียนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย 1.6MBD, จีน 1.0MBD และตุรกี 500kBD (Platts) มองอุปทานน้ำมันดิบในตะวันออกกลางจะตึงตัวขึ้น โดยเริ่มเห็นสัญญาณการแย่งชิงอุปทานจากราคาน้ำมัน Dubai มี Premium สูงขึ้นเทียบกับ Brent ตั้งแต่ช่วงต้น ส.ค. เป็นต้นไป (Figure 3) เชิงพื้นฐาน ทยอยสะสม PRM ซึ่งได้รับผลกระทบจำกัดจากประเด็นข้างต้น และมีการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ในอาเซียน
ตลาดดีเซลตึงตัว อุปทานอินเดียชะงัก-สต็อกสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำ ยุโรปรับแรงกดดันสองทาง
โรงกลั่นอินเดียเริ่มชะลอการนำเข้าน้ำมันดิบรัสเซียและเริ่มมองหาแหล่งนำเข้าใหม่ทดแทน เช่น Indian Oil Corp., Bharat Petroleum, Hindustan เป็นต้น หลังสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าต่ออินเดียขึ้นเป็น 50% ซึ่งจะมีผลในวันที่ 29 ส.ค. นี้ ซ้ำเติมจากก่อนหน้าที่ EU ได้ยกระดับการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย (Oilprice.com) และโรงกลั่นรัสเซียถูกโจมตีในข้างต้น กระทบการผลิตราว 697kBD หรือราว 14% ของการผลิตประเทศ (Bloomberg) ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกดีเซลสู่ยุโรปเผชิญภาวะตึงตัวเช่นกันจากกำลังการกลั่นดีเซลในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดลง โดย EIA ประเมินจะลดลง 8% ในปี 2025 จากการทยอยปิดโรงกลั่นและการเปลี่ยนผ่านสู่ RE ขณะที่สต็อกดีเซลอยู่ในต่ำ (Figure 4) ท่ามกลางอุปสงค์ดีเซลในสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งตามกิจกรรมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากการใช้สำหรับผลิตไฟฟ้าท่ามกลางคลื่นความร้อน (Bloomberg) สะท้อนจากราคาดีเซลในสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง (Figure 5)
มองส่วนต่างราคาดีเซลมี Upside เพิ่มเติมจากความตึงตัวระหว่างอุปสงค์-อุปทานในข้างต้น โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ จะส่งออกดีเซลสู่ EU ลดลง เพื่อประคองราคาในประเทศ โดย EU มีสัดส่วนการนำเข้าดีเซลจากสหรัฐฯ ช่วง 5M25 สูงถึง 64% ซึ่งสูงกว่าการนำเข้าจากอินเดียและตุรกีที่ 6% และ 9% ตามลำดับ (Figure 6) และในระยะสั้นคาดอินเดียจะส่งออกลดลงเช่นการซึ่งเป็นผลจากการผลิตที่ลดลงตามการชะลอการนำเข้าน้ำมันดิบรัสเซีย สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง เก็งกำไรระยะสั้น TOP ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตดีเซลสูง แต่โดยรวมมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน Dubai ที่มี Premium สูงขึ้นเทียบกับ Brent, การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปจากจีนที่เพิ่มขึ้น โดยโรงกลั่นจีนมีแต้มต่อจากมาตรการคืนภาษีและการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน โดยเฉพาะใน ก.ค. ที่มีการนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 11.5%YoY (Figure 7) ซึ่งกดดันค่าการกลั่นในช่วงที่ผ่านมา (Figure 8) แนะนำรอจังหวะเข้าซื้อสำหรับลงทุนเมื่อค่าการกลั่นเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของ 3Q25 ที่คาดว่าจีนจะชะลอการส่งออกเพื่อสะสมสต็อกรองรับช่วงวันหยุดยาวของจีนช่วงต้น ต.ค. นี้ ทั้งนี้ชอบโรงกลั่น BCP ซึ่งได้รับผลกระทบจำกัดจากอุปทานน้ำมันดิบในตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มตึงตัวขึ้น เนื่องจากส่วนใหญ่มีการนำเข้าน้ำมันดิบจาก Far East และมี Upside จากธุรกิจก๊าซฯ ในนอร์เวย์ตามฤดูกาลในช่วงสิ้นปีนี้ และ OKEA ได้ปรับเป้าการผลิตเพิ่มขั้นจากการเริ่มผลิตในหลุมก๊าซฯ ใหม่ตั้งแต่ ก.ค. ที่ผ่านมา