PDF Available  
Special Report - Thai Stocks

Energy at play - ค่าการตลาด-วอลุ่มหนุน OR / รอจังหวะซื้อโรงไฟฟ้า

4 Nov 25 7:30 AM
สรุปสาระสำคัญ
  • สัปดาห์ก่อน Brent -0.9%WoW, GRM +14.4%, ถ่านหิน (NEX) +2.6%, ราคาก๊าซ US +2.0%
  • กลุ่ม O&G -3.5%WoW, โรงกลั่น -2.1%, ปิโตรเคมี -1.7%, ไฟฟ้า -2.1%, ถ่านหิน +13.7%
  • ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับลงจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจาก OPEC+ ที่เพิ่มการผลิตต่อเป็นเดือนที่ 9 และ non-OPEC+ เพิ่มการผลิตนอกชายฝั่ง ขณะที่อุปสงค์ยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน บวกต่อค้าปลีกน้ำมันที่ น้ำมันขาลงหนุนค่าการตลาด และการบริโภคเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล เก็งกำไร OR
  • อุปสงค์ก๊าซฯ ยุโรปมี Upside Risk หลังระดับก๊าซฯ สำรองทรงตัวกว่า 2 สัปดาห์, จีนอาจกลับมาแย่งอุปทาน LNG โลก หากพิจารณายกเลิกภาษีนำเข้า LNG สหรัฐฯ และรัฐบาลอาจลดค่าไฟฟ้า ระยะสั้นกดดัน SPP แต่ในระยะต่อไปเห็นปัจจัยหนุนรออยู่ แนะรอความชัดเจนก่อนลงทุน

OPEC+ เพิ่มการผลิตอีกใน ธ.ค. นี้ ขณะที่การฟื้นตัวอุปสงค์ไม่ชัดเจน บวกต่อธุรกิจค้าปลีกฯ

ที่ประชุมระหว่างประเทศสมาชิก OPEC+ มีมติจะเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบใน ธ.ค. 2025 อีก 137kBD เป็นไปตามที่เคยส่งสัญญาณไว้ (Figure 2) ทำให้ตั้งแต่ เม.ย. 2025 กลุ่ม OPEC+ ได้เพิ่มอุปทานใหม่แล้วรวม 2.88MBD หรือราว 2.8% ของอุปสงค์โลก แต่ OPEC+ ส่งสัญญาณจะชะลอการเพิ่มการผลิตชั่วคราวใน 1Q26 เนื่องจากคำนึงถึงปัจจัยฤดูกาลที่อุปสงค์จะชะลอลง (Reuters)

ประเมินราคาน้ำมันดิบคงมีแนวโน้มปรับลง แม้ตลาดได้รับรู้การเพิ่มการผลิตใน ธ.ค. 2025 ตั้งแต่ในสัปดาห์ก่อนแล้วและในระยะสั้นอาจมีการปรับขึ้นตอบรับการหยุดการเพิ่มการผลิตชั่วคราวใน 1Q69 แต่มีปัจจัยเชิงพื้นฐานกดดันจากอุปทานน้ำมันโลกที่คงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการทยอยเพิ่มการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และประเทศกลุ่ม non-OPEC+ เช่น สหรัฐฯ, แคนาดา, บราซิล เป็นต้น เพิ่มการผลิตผ่านการผลิตนอกชายฝั่ง เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ลดลงและสหรัฐฯ มีนโยบายสนับสนุนการลงทุนในอ่าวเม็กซิโก (Platts and Reuters) ส่วนอุปสงค์ที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยเฉพาะจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีน โดยคาดว่าตลาดน้ำมันจะเกินดุลสูงขึ้นในปี 2026 (Figure 3) ขณะที่มีความเสี่ยงจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียด แม้ผู้นำทั้งสองประเทศได้พบกันในสัปดาห์ก่อนและได้ข้อสรุปเพียงแค่ข้อตกลงการค้าเบื้องต้น เช่น สหรัฐฯ ยกเว้นภาษีศุลกากรเกี่ยวกับ Fentanyl, จีนชะลอการควบคุมส่งออกแร่หายาก เป็นต้น (Bloomberg) แนะนำระมัดระวังการลงทุนในอุตฯ น้ำมันขั้นต้น แต่มองเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมันซึ่งได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันโลกที่ลดลง และปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในไตรมาส 4 (Figure 4) ขณะที่ค่าการตลาดในช่วงก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบระยะสั้นจากการคว่ำบาตรรัสเซียรอบล่าสุด เนื่องจาก กบน. ได้สั่งตรึงราคาขายปลีกน้ำมันโดยการลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ (กรุงเทพธุรกิจ) โดย กบน. พลิกจ่ายเงินประคองราคาดีเซลที่ 0.70 บาท/ลิตร (Figure 5) โดยฐานะบัญชีน้ำมันล่าสุดที่เกินดุล +2.77 หมื่นลบ. (Figure 6) มองว่าเพียงพอที่จะประคองราคาน้ำมันโลกที่ปรับสูง เชิงกลยุทธ์ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ รอจังหวะเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไร OR ที่มีการกระจายความเสี่ยงสู่ธุรกิจ Lifestyle ที่แข็งแกร่ง ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดธุรกิจ Mobility ช่วง 8M25 ยังทรงตัวที่ 32% (กระทรวงพลังงาน)

 

ราคาก๊าซฯ ยุโรป/ LNG มี Upside Risk ในระยะสั้นอาจกดดัน SPP แต่ยังคงมีความน่าสนใจอยู่

ยุโรปกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวและความต้องการใช้ก๊าซฯ มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น สะท้อนจากปริมาณก๊าซฯ สำรองในยุโรปที่ทรงตัวที่ระดับ 83% เป็นเวลา 2 สัปดาห์ (Figure 7) ซึ่งต่ำกว่าระดับเป้าหมายที่ระดับ 90% อย่างไรก็ตาม EU ได้ผ่อนคลายเกณฑ์การเติมก๊าซฯ ให้ยืดหยุ่นขึ้นเป็นภายในวันที่ 1 ธ.ค. สำหรับปี 2025 และ 2026 จากเดิมที่ต้องเติมถึงระดับเป้าหมายภายในวันที่ 1 พ.ย.

ประเมินราคาก๊าซฯ ยุโรปและ LNG มีความเสี่ยงขาขึ้น (Figure 8)จากความเสี่ยง 1) ยุโรปอาจเติมก๊าซฯ สำรองได้ไม่ทันตามเป้าหมาย และก่อนหน้านี้ EU ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม โดยจะระงับการนำเข้า LNG จากรัสเซีย 2) จีนอาจยกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้ LNG จากกรณี Fentanyl ในอัตรา 15% ทำให้เหลือเพียงอัตราภาษีตอบโต้ฐานที่ 10% (Platts) ทำให้จีนอาจกลับมาแย่งอุปทาน LNG ในตลาด และ 3) สภาพอากาศในยุโรปที่อาจหนาวเย็นสูงกว่าคาดจากปรากฎการณ์ La Nina ที่ NOAA คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 4Q25 มองเป็นลบระยะสั้นต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จากต้นทุนเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากประเด็นข้างต้น และมีโอกาสที่ค่าไฟฟ้างวด ม.ค.-เม.ย. 2026 จะลดลงสู่ 3.90 บาท/หน่วย สอดคล้องกับสมมุติฐานค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปี 2026 ของ INVX อย่างไรก็ตามคงมองกลุ่มโรงไฟฟ้ามีความน่าสนใจในระยะต่อไปจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มลดลงในปี 2026 จากอุปทาน LNG จากสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และอุปสงค์ก๊าซฯ ของกลุ่มประเทศ OECD ในยุโรปที่มีแนวโน้มลดลงจากสัดส่วน RE ที่สูงขึ้น (Platts) และมีปัจจัยหนุนการเติบโตผ่านการเพิ่มกำลังการผลิตจากโครงการ Direct PPA และโครงการโซลาร์ต่างตามนโยบาย Quick Big Win แนะนำรอความชัดเจนของปัจจัยต่างๆ  สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ หากราคาหุ้นปรับลงมาก เก็งกำไร BGRIM และ GPSC ซึ่งมีศักยภาพการขยายกำลังการผลิตและได้ประโยชน์หากต้นทุนเชื้อเพลิงปรับลง และเชิงพื้นฐาน รอจังหวะสะสม GULF เมื่อราคาอ่อนตัว ที่มีการกระจายความเสี่ยงเชิงธุรกิจสูง ติดตามการเปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้างวดถัดไปในช่วงกลาง พ.ย. นี้

 

ความเสี่ยง: เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน, สถานการณ์ในตะวันออกกลาง, การเมืองในประเทศ, นโยบายพลังงานสหรัฐฯ และไทย, รัสเซีย-ยูเครน, นโยบายการผลิตของ OPEC+

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5