Key Highlights
OPEC+ มีมติเร่งการเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบใน ส.ค. เป็นเดือนที่ห้าที่ +548kBD สูงกว่าจากที่เคยเพิ่มที่ +411kBD ทำให้ OPEC+ เพิ่มการผลิตสะสมแล้วรวม +1.92MBD (Reuters) โรงกลั่นจีนบางแห่งเริ่มกลับมานำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านหลัง ปธน. ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณผ่อนคลาย โดยปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบใน มิ.ย. เพิ่มขึ้นสู่ 1.44MBD จาก พ.ค. ที่ 1.02MBD (Bloomberg, Figure 2)
มองราคาน้ำมันยังคงเผชิญปัจจัยกดดันจากมติ OPEC+ ข้างต้นซึ่งเป็น Sentiment เชิงลบ และอุปสงค์น้ำมันโลกปีนี้ที่คาดจะเติบโตช้ากว่าอุปทาน ทำให้ตลาดน้ำมันมีแนวโน้มเกินดุลตลอดทั้งปี 2025 (Figure 3) มองบวกต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมันที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันโลกที่ปรับลง ส่วนค่าการตลาดและสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ส่วนบัญชีน้ำมันยังคงเป็นบวกในช่วงสงคราม 12 วัน (Figure 4) เชิงกลยุทธ์ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงสูงได้ เก็งกำไรระยะสั้น OR ที่มีการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจ Non-oil ที่แข็งแกร่ง, มี Upside จากการจำหน่ายน้ำมันอากาศยานที่มีมาร์จิ้นสูง และมองผลกระทบไทย-กัมพูชาจำกัดจากสัดส่วนรายได้เพียง 2-3% และการจำหน่ายน้ำมันยังสามารถดำเนินได้ปกติ โดยจะเปลี่ยนการนำเข้าน้ำมันจากแหล่งอื่น ส่วนต้นทุนที่สูงขึ้นจะถูกส่งผ่านสู่ผู้บริโภค แต่ในระยะสั้นมีปัจจัยที่อาจเข้ามาจำกัด Downside ของราคาน้ำมันจาก 1) แรงกดดันต่ออุปสงค์ที่ผ่อนคลายลง หากมาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ต่อประเทศคู่ค้าต่างๆ มีความชัดเจนขึ้นระยะถัดไป, 2) อุปทานในสหรัฐฯ ที่อาจชะลอตัวลงจากมุมมองเชิงลบของผู้ประกอบการอุตฯ ต้นน้ำในสหรัฐฯ (Dallas Fed) ประกอบกับราคาน้ำมันช่วงก่อนที่ลดลง และ 3) การแย่งชิงอุปทานน้ำมันที่ลดลงหลังจีนกลับมานำเข้าน้ำมันดิบอิหร่านอีกครั้ง ระมัดระวังการลงทุนในอุตฯ น้ำมันต้นน้ำจนกว่านโยบายพลังงานและภาษีศุลกากรสหรัฐฯ จะมีความชัดเจน และในระยะสั้นมองกลุ่มโรงกลั่นมี Downside Risk ตามค่าการกลั่นที่อาจปรับลง (Figure 5) หากโรงกลั่นจีนกลับมาเพิ่มการผลิตหลังสิ้นสุดการปิดซ่อมบำรุงตามฤดูกาล โดยโรงกลั่นจีนสามารถเพิ่มการผลิตได้ทันทีเนื่องจากมีสต็อกน้ำมันดิบในระดับสูง ขณะที่ฤดูขับขี่ในสหรัฐฯ เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายและเพิ่งผ่านพ้นช่วงวันหยุดยาวไป
คลื่นความร้อนในยุโรปมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว พยากรณ์อากาศชี้อุณหภูมิจะเย็นลงจากพายุฝนที่เข้ามาจากบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติก จากสัปดาห์ก่อนฝรั่งเศสและเยอรมนีได้เผชิญอุณหภูมิขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 40°C (France24) เช่นเดียวกับสเปนและโปรตุเกส (DW) โรงผลิต LNG 2 แห่งของ Cheniere Energy (LNG.US) ใกล้สิ้นสุดการหยุดซ่อมบำรุงตามฤดูกาลในช่วงปลาย มิ.ย. ที่มีกำลังการผลิตรวม 6.9bcf/d หรือ 46% ของกำลังการผลิตสหรัฐฯ (Reuters) ซึ่งทำให้การส่งออก LNG ใน มิ.ย. ลดลงต่อเนื่องสู่ 8.4 ล้านตัน (Figure 6)
ในระยะสั้นมองราคา LNG มีแนวโน้มปรับลง (Figure 7) ตามอุปสงค์ยุโรปหากคลื่นความร้อนผ่อนคลายลงตามพยากรณ์อากาศในข้างต้น ขณะที่ปริมาณก๊าซฯ สำรองยุโรปคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 59.4% (Figure 8) ขณะที่แรงกดดันในการเร่งเติมลดลง หลัง EU เห็นชอบการผ่อนคลายกฎการเติมก๊าซฯ สำรองลง (Reuters) ส่วนอุปทานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของการส่งออก LNG สหรัฐฯ ใน ก.ค. หลังการซ่อมบำรุงโรงผลิต LNG เสร็จสิ้น แต่ราคา LNG มีปัจจัยจำกัด Downside จากราคาก๊าซฯ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นต้นทุนผลิต LNG จากคลื่นความร้อนในสหรัฐฯ ที่ยังคงมีอยู่ เริ่มมองเป็นบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP แต่ยังคงมีปัจจัย Overhang กดดันจากการกำหนดค่าไฟฟ้างวด ก.ย. - ธ.ค. 2025 เชิงพื้นฐาน สะสม GULF ที่ได้รับผลกระทบจำกัดจากการกำหนดค่าไฟฟ้าและมีการกระจายความเสี่ยงเชิงธุรกิจสูง และสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ สะสม BCPG เมื่อราคาอ่อนตัวที่ได้ประโยชน์จากคลื่นความร้อนในสหรัฐฯ จากส่วนแบ่งกำไรที่เติบโตจากค่า Capacity Payment ที่เพิ่มขึ้น ติดตามสภาพอากาศที่แปรปรวน, ฤดูมรสุมบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติก อาจกระทบต่อการผลิต LNG และการกำหนดค่าไฟฟ้าที่คาดจะเกิดขึ้นช่วงปลาย ก.ค. นี้
ความเสี่ยง: เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน, สถานการณ์ในตะวันออกกลาง, การเมืองในประเทศ, นโยบายพลังงานสหรัฐฯ และไทย, รัสเซีย-ยูเครน, นโยบายการผลิตของ OPEC+