เนื้อหาโดยรวม
- มุมมองต่อเศรษฐกิจไทย : ปัจจุบันหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพยากรณ์สภาพอากาศได้ออกมาเตือนโลกอาจเผชิญกับปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรง (Super El Nino) ซึ่งจะทำให้เกิดฝนตกหนักในตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ และก่อให้เกิดความแห้งแล้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตอนเหนือของออสเตรเลีย โดยคาดมีโอกาสเกิดEl Nino เกินกว่า 90% ในช่วงปลายปี 2023 จนถึงปี 2024 ซึ่งในมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจไทยนั้น หากเกิด El Nino จะกระทบต่อการเพาะปลูกและผลผลิตทางเกษตรของไทย ทำให้เศรษฐกิจภาคเกษตร (Agriculture GDP) หดตัวลงเช่นเดียวกับที่เคยเกิดในปี 2015-17 อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งหากมีการชะลอตัวแรงจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรลดลง และอาจทำให้รายได้เกษตรกรปรับลดลงในระดับใกล้เคียงกับช่วงปี 2015-17 ได้
- มุมมองต่อตลาดหุ้นไทย : ภาพการลงทุนจากภัยแล้งของไทยเป็นความเสี่ยงเชิงลบมากกว่าเชิงบวก เนื่องจากโครงสร้างแรงงานไทยมาจากภาคเกษตรราว 40% ของกำลังแรงงานรวม ซึ่งจะนำมาซึ่งกำลังซื้อของคนมีรายได้น้อยและต่างจังหวัดที่มีแนวโน้มลดลงจากเดิมที่ได้รับแรงกดดันจากภาวะหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้นอาจจะส่งผลกับราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น และอาจจะส่งผลกับภาคการผลิตอย่างกลุ่มสินค้าเกษตร กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งในปี 2023 มองว่าจะยังไม่เห็นผลกระทบมากนัก เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนเพียงพอ แต่ต้องติดตามปริมาณฝนในช่วง มิ.ย. ถึง ต.ค. นี้ ซึ่งหากมีน้อย คาดว่าจะเห็นผลกระทบชัดเจนในช่วง 1Q24 เป็นต้นไป โดยต้องติดตามนโยบายการแก้ไขปัญหาน้ำอย่างเป็นรูปธรรมและพัฒนาการของ El Nino ประกอบกับ การขาดแคลนน้ำในภาคอุตสาหกรรมในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. เป็นสำคัญ
- กลยุทธ์การลงทุน : เนื่องจากเรามองปีนี้ประเทศไทยจะไม่ถึงขั้นประสบวิกฤตภัยแล้งหนัก แต่มีความเสี่ยงหากปรากฎการณ์เอลนีโญรุนแรงจนทำให้ไทยเข้าสู่ช่วงขาดฝนหรือมีปริมาณฝนต่ำกว่าปกติ จะทำให้เกิดปัญหาภัยแล้งรุนแรงตั้งแต่ปลายปี 2023 ถึงปี 2024 ซึ่งอาจกดดันผลประกอบการและศักยภาพทำกำไรของบางอุตสาหกรรม ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะกลางที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำ ระมัดระวังหรือเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มที่จะได้รับผลเชิงลบจากภัยแล้งผ่านกำลังซื้อที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT) ขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ แนะนำหาจังหวะเก็งกำไร สำหรับหุ้นที่คาดได้รับผลบวกจากภัยแล้ง อย่าง กลุ่มน้ำตาลและกลุ่มปาล์ม ส่วนกลุ่มพลังงาน&ปิโตรเคมี และโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ คาดจะไม่กระทบต่อการผลิตจากภาวะแล้งที่คาดจะไม่รุนแรง แต่หากภาวะแล้งรุนแรงกว่าคาด อาจทำให้ต้นทุนในการบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้น