ผลิตภัณฑ์

  1. หุ้น เป็นหุ้นส่วนบริษัท ด้วยเงินหลักร้อย
  2. กองทุน เปิดพอร์ตแบบอีซี่.. มีมืออาชีพคอยดูแลให้
  3. Intelligent Portfolios เปิดโหมดอัตโนมัติสำหรับดูแลการลงทุน
  4. สินทรัพย์ดิจิทัล การลงทุนบนสินทรัพย์แห่งอนาคต
  5. ตราสารหนี้และหุ้นกู้ ลงทุนเพื่อผลตอบแทนระยะยาว
  6. ตราสารอนุพันธ์ มองการณ์ไกล ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
  7. บริการยืมและให้ยืมสินทรัพย์ ปล่อยเช่า-ขอยืมหุ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน
  8. กองทุนส่วนบุคคล มีผู้จัดการช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้น
  9. คู่มือการใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา

แหล่งความรู้ด้านการลงทุน

  1. เริ่มลงทุนก้าวแรก เริ่มลงทุนก้าวแรก
  2. ลงทุนตามสินทรัพย์ ลงทุนตามสินทรัพย์
  3. บทวิเคราะห์การลงทุน บทวิเคราะห์การลงทุน
  4. แหล่งความรู้ครอบจักรวาลการลงทุนเพื่อทุกคน แหล่งความรู้ครอบจักรวาลการลงทุนเพื่อทุกคน

ข่าวสารและโปรโมชัน

  1. โปรโมชันและสิทธิพิเศษเพื่อคุณ
  2. อัปเดตข่าวสาร
  3. ประกาศ
  4. Point to invest
  5. INVX Point​
scbs image

โปรโมชันและสิทธิพิเศษ

พิเศษสำหรับลูกค้า Innovestx เท่านั้นใช้พอยต์แลกกองทุนรวมที่โดนใจ

ดูเพิ่มเติม

เกี่ยวกับเรา

  1. เกี่ยวกับเรา ร่วมเติบโตอย่างยั่งยืนไปกับเรา InnovestX
  2. ร่วมงานกับเรา ก้าวไปข้างหน้าแบบมีสไตล์
ค้นหาล่าสุด
เคลียร์
{{GetHitSearchValue.keywordTitle}}

พาณิชย์ – ได้ประโยชน์จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

blog_list_heading
InnovestX Research
11 เม.ย. 2567;
120
แชร์บทความนี้
test_blog_details_img

เนื้อหาโดยรวม

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่มีการเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เมื่อวันที่ 10 เม.ย. แสดงให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายยังคงเป็นกลุ่มเดิม คือ ประชาชนสัญชาติไทย 50 ล้านคน (โดยมีเกณฑ์อายุ รายได้ และเงินฝาก) จะได้รับเงิน 10,000 บาท วงเงินรวม 5 แสนลบ. อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขการใช้จ่ายมีการปรับใหม่เป็นใช้จ่ายได้เฉพาะกับร้านค้าขนาดเล็กรวมถึงร้านสะดวกซื้อในพื้นที่ระดับอำเภอสำหรับการใช้จ่ายรอบแรก (ระหว่างประชาชนกับร้านค้า) และไม่จำกัดขนาดร้านค้าและพื้นที่สำหรับการใช้จ่ายรอบที่สอง (ระหว่างร้านค้ากับร้านค้า) โครงการนี้จะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ (โดยเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าจำเป็น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 4Q67 เป็นต้นไป CPALL CPAXT และ BJC เป็นหุ้นเด่นที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จากรายละเอียดที่มีการเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เมื่อวันที่ 10 เม.ย. กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับเงินจากโครงการนี้ยังคงเป็นประชาชนสัญชาติไทยประมาณ 50 ล้านคน โดยมีเกณฑ์ได้แก่ อายุ 16 ปีขึ้นไป ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และมีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท วงเงินโครงการ 5 แสนลบ. จะใช้แหล่งเงินจากงบประมาณปี 2567-2568 และงบประมาณปี 2568 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร การแจกเงินในโครงการนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้ GDP ไทยขยายตัว 1.2-1.6% ทั้งนี้ ประชาชนและร้านค้าจะต้องลงทะเบียนและยืนยันตัวตนใน 3Q67 และเงินจะส่งตรงถึงประชาชนที่ได้รับสิทธิใน 4Q67 โดยมาตรการนี้จะนำเสนอต่อครม. ภายในเดือนเม.ย.

เงื่อนไขการใช้จ่ายภายใต้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต การใช้จ่ายรอบแรกจะเป็นการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็กในพื้นที่ระดับอำเภอ (878 อำเภอ) ภายในระยะเวลา 6 เดือนนับจากเริ่มต้นโครงการ โดยให้ใช้จ่ายเฉพาะกับร้านค้าขนาดเล็กภายใต้ระบบภาษีรวมถึงร้านสะดวกซื้อตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด เช่น ร้าน 7-Eleven และร้านสะดวกซื้อแบบ stand-alone ภายในสถานีบริการน้ำมัน แต่ไม่รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ การใช้จ่ายรอบที่สองจะเป็นการใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า โดยไม่จำกัดขนาดร้านค้าและพื้นที่ ทั้งนี้ร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันทีหลังประชาชนใช้จ่าย แต่จะสามารถถอนเงินได้เมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่สองเป็นต้นไป สินค้าทุกประเภทสามารถใช้จ่ายผ่านโครงการนี้ได้ ยกเว้นสินค้าอบายมุข น้ำมัน บริการ และสินค้าออนไลน์

โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ (โดยเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าจำเป็น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 4Q67 เป็นต้นไป เราคาดว่าโครงการนี้จะส่งผลบวกโดยตรงต่อผู้ประกอบการค้าปลีกที่ขายสินค้าจำเป็นในร้านค้าขนาดเล็ก (พื้นที่ขายไม่เกิน 200 ตร.ม./สาขา) และมียอดขายบางส่วนมาจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม นำโดย CPALL (ยอดขาย 56% ในงบการเงินรวมมาจากร้านสะดวกซื้อที่บริษัทมีสาขาครอบคลุมทุกอำเภอในประเทศไทย และยอดขายจาก CPAXT ที่มาจากร้านค้าปลีกรายย่อยและร้านค้าส่งในธุรกิจ B2B และร้านค้าขนาดเล็กในธุรกิจ B2C) ตามด้วย CPAXT (ยอดขาย 24% ในงบการเงินรวมมาจากกลุ่มร้านค้าปลีกรายย่อย (ร้านขายของชำ ร้านโชห่วย) และร้านค้าส่ง (ร้านค้าส่งขนาดกลางและเล็ก) ในธุรกิจ B2B และร้านค้าขนาดเล็กในธุรกิจ B2C) และ BJC (ยอดขาย 20% ในงบการเงินรวมมาจากร้านค้าขนาดเล็กของ BigC B2B และร้าน “โดนใจ” ซึ่งเป็นร้านของผู้ค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ซื้อสินค้าจาก BigC) นอกจากนี้เรายังคาดว่าผู้ประกอบการทุกรายในกลุ่มพาณิชย์จะได้รับผลบวกทางอ้อมจากกำลังซื้อที่ปรับตัวดีขึ้นและ sentiment ที่ดีขึ้น เนื่องจากยอดขายและกำไรจะปรับเพิ่มขึ้น (นำโดยผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าจำเป็น) ตั้งแต่ 4Q67 เป็นต้นไป เราจึงเลือก CPALL CPAXT และ BJC เป็นหุ้นเด่นที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและนโยบายรัฐบาล ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และแนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน (S)

ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก  COMMERCE240411_T

The basic details for the digital wallet released after the National Digital Wallet Policy Committee meeting on April 10 shows an unchanged target group - 50mn Thai citizens (specifying age, income and deposits) will receive a handout of Bt10,000 for a total of Bt500bn. However, spending conditions are revised: purchase are limited to small retailers, including convenience stores, within the district for the initial round of transactions (between wallet holder and retailer); after this, there will be a second round with no geographical or retailer restrictions (between retailers). This measure gives earnings upside for sector, notably for staples, from 4Q24F onwards, especially for CPALL, CPAXT, and BJC.

More digital wallet details released. The National Digital Wallet Policy Committee met on April 10. It has confirmed the target group for the digital wallet handout: Thai citizens aged 16 and above who earn annual income of no more than Bt840,000 (Bt70,000/month) and have no more than Bt500,000 in their bank accounts. An estimated 50mn are eligible. The digital wallet, which will cost ~Bt500bn, will be funded by the FY2024-25 budget plus the FY2025 budget for the BAAC (Bank for Agriculture and Agricultural Cooperatives). This handout is estimated to provide a boost of 1.2-1.6% to Thai GDP. Both citizens and businesses must register and verify their identity in 3Q24, with the funds directly distributed to those who are qualified in 4Q24. This measure will be proposed to Cabinet in April.

Digital wallet spending conditions. The first round of transactions will take place within six months from the beginning of the measure and are limited to the wallet holder and small retailers in their district of registration (878 districts). This applies only to small retail shops under the tax system, including convenience stores specified by the Ministry of Commerce, such as 7-Eleven stores and stand-alone convenience stores within gas stations; it excludes supermarkets, department stores and large retail stores. The second round is to be retailer-retailer, without geographical or size restrictions. Retailers cannot immediately withdraw cash after transactions; cash withdrawals will begin only in the second round. All types of products can be purchased, except for sin goods, fuel, services and online items.

Upside for the sector, notably for staples, from 4Q24F onwards. We expect those selling staples in small stores (saleable area below 200 sq.m./store) to benefit directly with some sales contribution from traditional trade. This will be led by CPALL (56% consolidated sales from its convenience stores, which cover all of Thailand’s districts, and CPAXT’s contribution from food retailers and distributors in B2B and small B2C stores), followed by CPAXT (24% consolidated sales from food retailers and distributors in B2B and small stores in the B2C unit) and BJC (20% consolidated sales from BigC’s small stores, B2B and “Donjai” - stores owned by traditional retailers who purchase their stock from BigC). We also expect indirect benefit to all sector players from better purchasing power and brighter sentiment. With sales and earnings upside led by staples from 4Q24F, CPALL, CPAXT, and BJC are our picks on this measure.

Key risks are changes in purchasing power and government policies. Key ESG risks are energy management, sustainable products (E) and labor/employment practices (S).

 
Click here to read and/or download file  COMMERCE240411_E

กลับด้านบน