
HMPRO มี SSS ที่เติบโตแข็งแกร่งกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ใน 2Q66TD และมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่ค่อนข้างจำกัด ซึ่งน่าจะช่วยให้ HMPRO กลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดได้หลังจากราคาหุ้นปรับตัว underperform SET อยู่ 2% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เราคาดว่ากำไรปี 2566 ของ HMPRO จะเติบโต 14% จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น โดยกำไรจะเติบโตทุกไตรมาสตั้งแต่ 1Q66 ถึง 4Q66 จากปัจจัยฤดูกาล เราให้เรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ HMPRO ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 17 บาท
ปัจจัยกระตุ้น
- SSS ใน 2Q66TD เติบโตดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ เราคาดว่า SSS ของ HMPRO จะเติบโต 5% YoY (สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ที่ 4% YoY) ใน 2Q66TD โดยได้แรงหนุนหลักจาก: 1) บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้น ดังเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 39 เดือนในเดือนพ.ค. โดยได้แรงหนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และกิจกรรมที่มีมากขึ้นในช่วงที่มีการเลือกตั้งทั่วไป; 2) ฝนที่ตกน้อยกว่าปกติและอากาศที่ร้อนกว่าปกติ จะช่วยกระตุ้นยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของ HMPRO ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 20% ของยอดขายรวม ในระยะถัดไป เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาว่าปริมาณฝนจะต่ำกว่าปกติและอากาศจะร้อนกว่าปกติในเดือนมิ.ย.-ส.ค. จะสนับสนุนให้ SSS ของ HMPRO เติบโตอย่างต่อเนื่อง
-
- ผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่มีจำกัด ประเด็นแรก เมื่อพิจารณาจากนโยบายค่าแรงและค่าไฟฟ้าตามที่พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งสัญญาไว้ เราประเมินได้ว่าผลกระทบโดยรวมต่อกำไรของ HMPRO จะเป็นกลาง เนื่องจากกำไรที่จะลดลง 2% จากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (+30%, โดยใช้สมมติฐานค่าใช้จ่ายพนักงาน 15-20% เชื่อมโยงกับค่าแรงขั้นต่ำ และยังไม่รวมยอดขายที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นจากกำลังซื้อที่สูงขึ้นเข้ามา) จะถูกชดเชยโดยกำไรที่จะเพิ่มขึ้น 2% จากการลดค่าไฟฟ้า (-15%) ประเด็นที่สอง สำหรับนโยบายหวยใบเสร็จตามที่พรรคก้าวไกลเสนอไว้นั้น เราประเมินได้ว่าผลกระทบต่อกลุ่มพาณิชย์จะคล้ายกับที่เห็นได้จากมาตรการ คนละครึ่ง ในปี 2563-2565 ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมโครงการนี้ โดยในตอนนั้น เราสังเกตเห็นผลกระทบที่เป็นกลางต่อยอดขายของ HMPRO ประเด็นที่สาม คือ การยกเลิกการผูกขาดเป็นประเด็นที่จะต้องติดตามต่อไป ตลาดสินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้านในประเทศไทย (รวมถึงโมเดิร์นเทรดและร้านค้าปลีกดั้งเดิม) เป็นตลาดที่มีผู้เล่นหลายราย และไม่มีผู้เล่นรายใดที่ครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าครึ่งหนึ่ง หากนับเฉพาะบริษัทที่ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้านที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่ายอดขาย 39% จากยอดขายรวมทั้งหมดในปี 2565 มาจาก HMPRO 22% มาจากไทวัสดุ (CRC) 21% มาจาก GLOBAL และ 18% มาจาก DOHOME ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่มีบริษัทหนึ่งบริษัทใดที่จัดเป็นผู้มีอำนาจผูกขาด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ ปัจจัยกระตุ้นเชิงบวกจาก SSS ที่เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ใน 2Q66TD และความเสี่ยง downside จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลที่ค่อนข้างมีจำกัดน่าจะช่วยให้ HMPRO กลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดได้หลังจากราคาหุ้นปรับตัว underperform SET อยู่ 2% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เราคาดว่ากำไรของ HMPRO จะเติบโต 14% ในปี 2566 โดยได้รับการสนับสนุนจากจาก SSS ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง การขยายสาขาเชิงรุก และมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น โดยกำไรจะเพิ่มขึ้น QoQ ตั้งแต่ 1Q66 ถึง 4Q66 จากปัจจัยฤดูกาล เราให้เรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ HMPRO ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF (WACC ที่ 7.0% และการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ที่ 17 บาท
ความเสี่ยง คือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม
HMPRO230621