เราปรับประมาณการ credit cost ปี 2567 ลดลงเพื่อสะท้อนสินเชื่อจัดชั้น stage 2 ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า NIM จะเพิ่มขึ้น และ credit cost จะลดลงในปี 2567 เรายังคงเลือก KTB เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เนื่องจาก: 1) valuation ถูก 2) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ 3) กำไรจะฟื้นตัวต่อเนื่อง และ 4) ได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ระดับสูงสุด ปัจจัยกระตุ้น สินเชื่อจัดชั้น stage 2 ลดลง และ LLR coverage สูง KTB พบว่าสินเชื่อจัดชั้น stage 2 ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปใน 2Q66 และ 3Q66 ธนาคารได้ทำการปรับชั้นสินเชื่อบางส่วนจาก stage 2 เป็น stage 1 เพื่อสะท้อนฐานะการเงินที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคง ECL ของสินเชื่อเหล่านี้ไว้ ส่งผลทำให้ LLR สำหรับสินเชื่อจัดขั้น stage 2 เพิ่มขึ้นจาก 25% ใน 1Q66 สู่ 27% ใน 3Q66 KTB มี LLR coverage ระดับสูงที่ 174% ณ 3Q66 สูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มธนาคาร และสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารที่ 170% เรายังคงประมาณการ credit cost ปี 2566 ไว้ตามหลักความระมัดระวังที่ 1.25% (+32 bps) โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7 bps QoQ ใน 4Q66 อย่างไรก็ตาม เราปรับประมาณการ credit cist ปี 2567 ลดลง 5 bps สู่ 1.2% (-5 bps) เพื่อสะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและ LLR coverage ที่สูงกว่าเป้า NIM จะทำจุดสูงสุดใน 4Q66 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนต.ค. ทำให้เราคาดว่า NIM ของ KTB จะเพิ่มขึ้น 11 bps QoQ สู่ระดับสูงสุดที่ 3.51% ใน 4Q66 แม้ว่าจะไม่มีรายการพิเศษเกิดขึ้นเหมือนใน 3Q66 (เทียบเท่า NIM ที่ 7 bps) เราคาดว่า KTB จะรักษา NIM ไว้ที่ระดับสูงสุดได้ในปี 2567 แต่ NM จะขยายตัวน้อยลงที่ +14 bps ในปี 2567 จาก +67 bps (มากที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นๆ) ในปี 2566 อยู่ในตำแหน่งดีที่สุดในการคว้าโอกาสปล่อยสินเชื่อภาครัฐ ในฐานะธนาคารของรัฐ KTB จึงอยู่ในตำแหน่งดีที่สุดในการคว้าโอกาสปล่อยสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงในปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้เคียงหรือดีกว่าสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เล็กน้อย สินเชื่อภาครัฐของ KTB ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% QoQ ใน 3Q66 เราคาดว่าสินเชื่อภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจะเพียงพอชดเชยการชำระคืนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ระดับสูงใน 4Q66 เรายังคงคาดการณ์ว่าสินเชื่อจะเติบโตระดับต่ำที่ 2% ในปี 2566 และ 3% ในปี 2567 อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลดี เราคาดว่า KTB จะปรับอัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ที่ 35% ในปี 2566 (เทียบกับ 28% ในปี 2565) โดยจะจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2566 ในอัตรา 1 บาท/หุ้น (yield 5.6%) SET ESG Ratings ระดับ “AAA” ด้วย SET ESG Ratings ระดับ “AAA” ราคาหุ้น KTB จึงน่าจะได้รับประโยชน์จากการเปิดตัว “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน” (Thailand ESG Fund) ในเดือนธ.ค. ผลกระทบ เราปรับประมาณการกำไรปี 2567 เพิ่มขึ้น 3% หลักๆ เกิดจากการปรับประมาณการ credit cost ลดลง เราคาดว่ากำไร 4Q66 จะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ (NIM ที่ดีขึ้นถูกหักล้างโดย opex ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล) และเพิ่มขึ้น 27% YoY เราคาดว่ากำไรจะเติบโตในอัตราชะลอตัวลงจาก 21% ในปี 2566 สู่ 8% ในปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจากสินเชื่อที่เติบโต 3% NIM ที่เพิ่มขึ้น 14 bps และ credit cost ที่ลดลง 5 bps กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ เรายังคงเลือก KTB เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร โดยคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 25 บาท (PBV 0.8 เท่า อ้างอิง ROE ระยะยาวที่ 8.5%, อัตราการเติบโตระยะยาวที่ 1%, cost of equity ที่ 10.3%) เนื่องจาก: 1) valuation ถูก 2) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ 3) กำไรจะฟื้นตัวต่อเนื่อง และ 4) ได้รับการประเมิน SET ESG Rating ระดับสูงสุด ความเสี่ยง: 1) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง 2) การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาดเนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง 3) non-NII ได้รับแรงกดดันจากตลาดทุนที่ผันผวนและแนวโน้มที่ ธปท.จะใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น และ 4) ความเสี่ยงด้าน ESG เกี่ยวกับการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (market conduct) | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก KTB_HighConviction231214_T
|