หลังการประชุมนักวิเคราะห์ เรายังคงเลือก KTB เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร โดยปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 28 บาท เป็น 31 บาท เราเล็งเห็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจาก: 1) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจจากการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล พร้อมกับ upside จากโครงการซื้อหุ้นคืน 2) การปรับลดประมาณการ credit cost สู่โหมดผ่อนคลายในระยะข้างหน้า เนื่องจากความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ และ 3) valuation ที่ไม่แพง เมื่อเทียบกับ ROE ที่สูงกว่าธนาคารอื่นๆ
อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าสนใจ และอยู่ระหว่างการพิจารณาซื้อหุ้นคืน KTB เปิดเผยว่าธนาคารจะปรับอัตราการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2568 เพิ่มขึ้นจากระดับ 49% สำหรับ 2567 เราจึงปรับประมาณการเงินปันผลต่อหุ้น (DPS) สำหรับปี 2568–2570 เพิ่มขึ้นจาก 1.65 บาท เป็นแนวโน้มขาขึ้นที่ 2.15–2.35 บาท ซึ่งสะท้อนถึงการปรับอัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 62%–73% ส่งผลทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับที่น่าสนใจที่ 7.9%–8.6% โดยมีเหตุผล 3 ประการที่อยู่เบื้องหลังการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลครั้งนี้ ประการแรก เราเชื่อว่า KTB จำเป็นต้องปรับอัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อลดอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ลงจากระดับปัจจุบันที่ 19.6% (สูงสุดในกลุ่มธนาคาร) สู่ระดับที่เหมาะสมที่ 14-15% ประการที่สอง แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อยังคงชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยมีสัดส่วนสินเชื่อภาครัฐซึ่งมีน้ำหนักความเสี่ยงเป็นศูนย์เพิ่มขึ้น ประการที่สาม KTB จำเป็นต้องบริหารเงินทุนเชิงรุกเพื่อรักษาเป้า ROE ไว้ที่ 10% ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญของธนาคาร นอกจากนี้ KTB ยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอย่างต่อเนื่อง หลังจากจ่าย DPS ระหว่างกาลครั้งแรกที่ 0.43 บาท สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2568 (XD วันที่ 11 พ.ย.) และขณะนี้ธนาคารก็อยู่ระหว่างการพิจารณาซื้อหุ้นคืน
ปรับลดประมาณการ credit cost สู่โหมดผ่อนคลาย เราปรับประมาณการ credit cost ลดลง 5 bps เป็น 1.15% ในปี 2568 และ 1.1% ในปี 2569 เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายล่าสุดของธนาคาร KTB ระบุว่า credit cost ปี 2568  มีแนวโน้มที่จะเข้าใกล้ระดับต่ำสุดของกรอบเป้าหมายที่ 1.05-1.25% โดยธนาคารจะตั้งสำรอง ECL ลดลง QoQ ใน 4Q68 นอกจากนี้ KTB ยังคาดว่า credit cost จะลดลงในปี 2569 สอดคล้องกับนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังและเน้นปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ ธนาคารให้เหตุผลว่า LLR coverage ที่ 202% ในปัจจุบัน (สูงเป็นอันดับสองในกลุ่มธนาคาร) ถือว่าอนุรักษ์นิยมเกินไป และจำเป็นต้องลด credit cost ลงเพื่อชดเชย NIM ที่ลดลงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการเน้นปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น
แนวโน้มกำไร: กำไร FVTPL และเงินลงทุนไม่ยั่งยืน เราคาดว่า KTB จะรายงานกำไรสุทธิลดลงใน 4Q68 และปี 2569 หลักๆ เป็นผลมาจากกำไร FVTPL ที่ไม่ยั่งยืน Q25 กำไร FVTPL มากกว่าครึ่งหนึ่งมาจากธุรกิจ global market ที่กำลังเติบโตและสร้างรายได้ประจำ เราคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q68 จะลดลง QoQ (กำไร FVTPL ลดลง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงขึ้น) แต่จะอยู่ในระดับทรงตัว YoY เราคาดว่ากำไรสุทธิจะลดลง 7% ในปี 2569 โดยเกิดจากสินเชื่อที่เติบโต 1% NIM ที่ลดลง 21 bps credit cost ที่ลดลง 5 bps non-NII ที่ลดลง 6% (หลักๆ เกิดจากกำไร FVTPL และเงินลงทุน) และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่สูงขึ้นจาก NII ที่อ่อนแอลง เรารวมเอาการปรันลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ในเดือนธ.ค. และ 50 bps ในปี 2569 เข้ามาไว้ในประมาณการแล้ว
Valuation ไม่แพง เมื่อเทียบกับ ROE ที่สูงกว่าธนาคารอื่นๆ แม้ว่าราคาหุ้น KTB ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 30% YTD แต่หุ้น KTB ยังคงซื้อขายที่ valuation ไม่แพงที่ PBV 0.8 เท่า เมื่อเทียบกับ ROE ที่ 9.6% (สูงเป็นอันดับสองในกลุ่มธนาคาร) สำหรับปี 2569
คงคำแนะนำ OUTPERFORM โดยปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น เราคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ KTB โดยปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 28 บาท เป็น 31 บาท (อิงกับ PBV ปี 2569 ที่ 0.8 เท่า) เนื่องจากเราปรับ PBV เป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 0.9 เท่า เพื่อสะท้อน ROE ระยะยาวที่สูงขึ้นจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้นและการปรับฐานที่ใช้ประเมินมูลค่าเป็นสิ้นปี 2569
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: 1) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและสงครามการค้า 2) ความเสี่ยงด้าน NIM จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 3) การขยายสินเชื่อได้ช้าลงเพราะความต้องการสินเชื่อต่ำและการแข่งขันสูง และ 4) ความเสี่ยงด้าน ESG จากการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (market conduct) และความปลอดภัยทางไซเบอร์
Attractive dividend with easing ECL
After the analyst meeting, we keep KTB as the sector pick with a hike in TP to Bt31 from Bt28. We see catalysts from: 1) an attractive dividend yield from a hike in dividend payout with possible upside from treasury stock, 2) a cut in credit cost forecast to easing ahead, with lower asset quality risk than peers, and 3) an undemanding valuation relative to superior ROE to peers. 
Attractive dividend yield with possible treasury stock. KTB disclosed that it will raise dividend payout ratio on 2025 operations from 2024’s 49%. We raise our DPS forecast from Bt1.65 for 2025-2027 to an uptrend of Bt2.15-2.35 for 2025-2027 on a hike in payout ratio to 62%-73%, translating to an attractive dividend yield of 7.9%-8.6%. There are three reasons behind this. Firstly, we believe KTB needs to push dividend payout up sharply to bring its current tier-1 capital adequacy ratio of 19.6% (the sector’s highest) down to its preferred optimal level of 14-15%. Secondly, its loan growth outlook is slow amidst a weak macro backdrop with a high proportion of government loans, which have zero risk weighting. Thirdly, it needs proactive capital management to sustain its 10% ROE target which is its priority. It will continue to pay an interim dividend after its first ever interim DPS of Bt0.43 (XD on Nov 11) on 1H25 operations. It is now also considering a treasury stock program.
Cut credit cost forecast to easing. We cut our credit cost forecast by 5 bps to 1.15% in 2025F and 1.1% in 2026 to be in line with its latest guidance. KTB guided that 2025F credit cost is likely to be at the low end of its 1.05-1.25% target range with a QoQ ease in ECL in 4Q25. It also guided to a lower credit cost in 2026, lining up with its cautious lending policy with a flight to quality. It said that current LLR coverage of 202% (the second highest in the sector) is too conservative and it needs to ease credit cost to offset a NIM squeeze from the interest rate cuts and its flight to quality lending policy.
Earnings outlook: Unsustainable gains. We expect KTB to see a fall in earnings in 4Q25 and 2026 due to unsustainable FVTPL gains. More than 50% of its FVTPL gains came from a growing global market business, which is by nature recurring. We expect 4Q25 earnings to fall QoQ on smaller FVTPL gain and higher opex but be flattish YoY. We expect earnings to fall 7% in 2026, with 1% loan growth, a 21 bps cut in NIM, a 5 bps drop in credit cost, a 6% decrease in non-NII (lower gains) and rising cost to income ratio from weaker NII. We factor in a policy rate cut of 25 bps in December and 50 bps in 2026.
Undemanding valuation relative to higher ROE than peers. Despite a 30% YTD rise in the share price, KTB is still trading at an undemanding valuation of 0.8x PBV relative to 9.6% ROE (the second highest in the sector) for 2026F.
Maintain Outperform with TP hike. We maintain our Outperform rating on KTB with a hike in TP to Bt31 (based on 0.8x 2026F PBV) from Bt28 as we re-rate our PBV target to 0.9x to factor in higher L-T ROE from higher dividend payout and a roll in valuation base to YE2026.
Key risks: 1) Asset quality risk from an economic slowdown and the trade war, 2) NIM risk from more policy rate cuts, 3) slower loan growth on low demand and high competition and 4) ESG risk from market conduct and cyber security.
Download PDF Click > KTB_HighConviction251103_E.pdf