ก่อนไปคิดอะไร
- บริษัทมองผลการดำเนินงาน 2H67 อย่างไร หลัง 2Q67 มีกำไรสุทธิ 74 ลบ. เติบโตชะลอตัว 5%YoY โดยแม้ยอดขายรวมจะเพิ่มขึ้นเด่นถึง 30%YoY หลังยอดขายสาขาเดิมเติบโตเด่น 11.4%YoY จากการเพิ่มบริการใหม่ๆ อีกทั้งมีกระแสตอบรับที่ดีในแบรนด์ L.A.B.X และคลินิกศัลยกรรม รวมทั้งยังรับรู้ยอดขายจากสาขาใหม่ที่มีเพิ่มขึ้น 22 แห่งจาก 2Q66 (2Q67 เปิดสาขาหใหม่แบรนด์ Klinique 1 แห่ง และ L.A.B.X 2 แห่ง) และมี SG&A/Sales อยู่ที่ 38.1% ลดลงจาก 39.7% ใน 2Q66 หลังเกิดผลประหยัดต่อขนาดจากมีสาขามากขึ้น แต่ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกหักล้างด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็น 50.5% จาก 54.9% ใน 2Q66 เพราะมีสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากศูนย์ศัลยกรรมและ L.A.B.X ซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำกว่า The Klinique อีกทั้งยังรับรู้ต้นทุนค่าเช่าและค่าบุคลากรทางการแพทย์ของสาขาเปิดใหม่
หลังไปได้อะไร
- KLINIQ ยังคงตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่ 3 พันลบ. เติบโต 30%YoY (1H67 เติบโต 33%YoY) แรงหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่คาดยังเติบโตราว 10%YoY จากการเพิ่มบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการดูแลตัวเองของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยล่าสุดเดือน พ.ค. มีการเปิดบริการใหม่ คือ ปลูกผม อีกทั้งยังคงแผนขยายสาขาต่อเนื่อง เพื่อจะได้ครอบคลุมลูกค้าทุกเพศทุกวัย โดยเน้นขยายสาขาไปในพื้นที่ที่มีกำลังซื้อดี โดยปีนี้ตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ 20 แห่ง โดย 1H67 ขยายสาขาไปแล้ว 13 แห่ง และ 3Q-4Q67 จะขยายสาขาอีกไตรมาสละ 3-4 แห่ง ภายใต้แบรนด์ทั้ง The Klinique และ L.A.B.X ซึ่งคาดทำให้สิ้นปี 2567 มีสาขารวม 75 แห่ง เพิ่มจาก 55 แห่งในปี 2566 และตั้งเป้ามีสาขาครบ 100 แห่งในปี 2570 เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 30% ใน 3-5 ปีข้างหน้า
ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน
- กำไรสุทธิ 1H67 คิดเป็น 46% ของประมาณการทั้งปี และเรายังคงประมาณการเดิม โดย 2H67 คาดผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ HoH โดยมอง 3Q-4Q67 คาดกำไรจะปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY ในอัตราเติบโตที่ดีขึ้นจาก 1Q-2Q67 โดยมีปัจจัยหนุนจากกระแสความต้องการดูแลตัวเองที่มีมากขึ้น การเพิ่มบริการใหม่ๆ และการรับรู้ยอดขายจากสาขาใหม่ อีกทั้งผลการดำเนินงานของศูนย์ศัลยกรรมคาดจะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ หลังมีกระแสตอบรับที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดปี 2567 KLINIQ จะมีกำไรสุทธิ 325 ลบ. เติบโต 12.5%YoY
- KLINIQ เป็นหนึ่งในผู้นำคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงามของไทย ซึ่งคาดกำไรยังโตต่อเนื่องได้ในระยะยาว หลังผู้บริโภคดูแลสุขภาพและภาพลักษณ์มากขึ้นในทุกเพศทุกวัย อีกทั้งไทยมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ทำให้อุปสงค์มีแนวโน้มเติบโตทั้งตลาดลูกค้าไทยและต่างชาติ กลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2567 ด้วยวิธี DCF (อิง WACC ที่ 7.7% และการเติบโตระยะยาวที่ 3%) ที่หุ้นละ 46 บาท และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปีนี้หุ้นละ 1.46 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 4.5% ทั้งนี้ล่าสุดบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H67 หุ้นละ 0.65 บาท (XD 29 ส.ค.) คิดเป็น Div. Yield 2%
- ความเสี่ยงสำคัญ คือ มีภาวะการแข่งขันในธุรกิจมีสูง, พฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยีการรักษาดูแลความงามเปลี่ยนแปลงเร็ว ส่วนความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ความปลอดภัยและการรักษาข้อมูลการรักษาของผู้มาใช้บริการ (S) รวมทั้งมีผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นของบริษัทเกิน 50% (G)
ท่าน สามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก Stock-note-KLINIQ