ก่อนไปคิดอะไร
บริษัทมองผลการดำเนินงานช่วงที่เหลือของปีนี้อย่างไร หลัง 1Q67 รายงานกำไรสุทธิ 75 ลบ. เติบโต 9%YoY โดยแม้ยอดขายรวมจะเพิ่มขึ้นโดดเด่นถึง 35%YoY หลังมีการเพิ่มบริการใหม่ๆ ทำให้ยอดขายสาขาเดิมโตเด่น 16.2%YoY อีกทั้งยังรับรู้ยอดขายจากสาขาใหม่ที่มีเพิ่มขึ้น 22 แห่งจาก 1Q66 และมี SG&A/Sales อยู่ที่ 37.4% ลดลงจาก 38.5% ใน 1Q66 หลังเกิดผลประหยัดต่อขนาดจากมีสาขามากขึ้น แต่ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกหักล้างบางส่วนด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็น 50.4% จาก 54.8% ใน 1Q66 เพราะมีสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากศูนย์ศัลยกรรมและ L.A.B.X ซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำกว่า The Klinique อีกทั้งยังรับรู้ต้นทุนเตรียมเปิดสาขาใหม่ (ค่าเช่าและค่าบุคลากรทางการแพทย์) ซึ่งใน 1Q67 ได้เร่งเปิดสาขาใหม่เชิงรุกถึง 10 แห่ง (The Klinique และ L.A.B.X แบรนด์ละ 5 แห่ง) จึงกดดันทำให้ 1Q67 มีอัตรากำไรสุทธิ 10.9% ลดลงจาก 13.6% ใน 1Q66
หลังไปได้อะไร
ปีนี้ KLINIQ มีแผนขยายสาขาเชิงรุกราว 20 แห่ง ซึ่งมากกว่าต้นปีที่ตั้งเป้าไว้ 15 แห่ง โดย 1Q67 ขยายสาขาไปแล้ว 10 แห่ง และ 2Q-4Q67 จะขยายสาขาอีกไตรมาสละ 3-4 แห่ง เพื่อจะได้ครอบคลุมลูกค้าทุกเพศทุกวัย โดยเน้นขยายสาขาไปในพื้นที่ที่มีกำลังซื้อดี ภายใต้แบรนด์ทั้ง The Klinique และ L.A.B.X โดยคาดสิ้นปี 2567 จะมีสาขารวม 75 แห่ง เพิ่มจาก 55 แห่งในปี 2566 และมีสาขาครบ 100 แห่งภายในปี 2570 ส่วนยอดขายสาขาเดิมยังตั้งเป้าเติบโต 10%YoY จากความต้องการดูแลตัวเองของลูกค้าเดิมที่เพิ่มขึ้น การหาลูกค้าใหม่ทั้งไทยและต่างชาติ (อาทิ จีน และ CLMV) รวมทั้งการเพิ่มบริการใหม่ๆ ส่งผลให้ปีนี้ยังตั้งเป้ารายได้ที่ 3 พันลบ. เติบโต 30%YoY
ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน
แม้ 2Q-4Q67 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้น YoY ในอัตราเติบโตที่ดีขึ้นทุกไตรมาส จากกระแสความต้องการดูแลตัวเองที่มีมากขึ้น การเพิ่มบริการใหม่ๆ และการรับรู้ยอดขายจากสาขาใหม่ อีกทั้งผลการดำเนินงานของศูนย์ศัลยกรรมคาดจะดีขึ้นตามลำดับหลังมีกระแสตอบรับที่ดี จน 1Q67 มีกำไร 10 ลบ. ดีขึ้นจาก 4Q66 ที่พลิกกำไร 1 ลบ. แต่กำไร 1Q67 คิดเป็น 21% ของประมาณการทั้งปีซึ่งต่ำเกินไปจากมีต้นทุนสูงขึ้นหลังเร่งขยายสาขามากกว่าคาด และช่วงแรกยังต้องรับรู้ผลขาดทุนจากธุรกิจใหม่ L Clinic ที่เปิด 1 สาขาปลายปีก่อนราวเดือนละ 1 ลบ. เพื่อเจาะตลาดลูกค้าที่สนใจบริการสไตล์เกาหลี เพื่อสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าว เราจึงปรับลดประมาณการกำไรตั้งแต่ปี 2567 เฉลี่ยปีละ 8% โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2567 KLINIQ จะมีกำไรสุทธิ 325 ลบ. เติบโต 12.5%YoY
เรายังมีมุมมองบวกต่อ KLINIQ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงามของไทย ซึ่งคาดกำไรยังโตต่อเนื่องได้ในระยะยาว หลังผู้บริโภคดูแลสุขภาพและภาพลักษณ์มากขึ้นในทุกเพศทุกวัย อีกทั้งไทยมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ทำให้อุปสงค์มีแนวโน้มเติบโตทั้งตลาดลูกค้าไทยและต่างชาติ กลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายใหม่ปี 2567 ด้วยวิธี DCF (อิง WACC ที่ 7.7% และการเติบโตระยะยาวที่ 3%) ที่หุ้นละ 46 บาท และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปีนี้หุ้นละ 1.46 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 3.9%
ความเสี่ยงสำคัญ คือ มีภาวะการแข่งขันในธุรกิจมีสูง, พฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยีการรักษาดูแลความงามเปลี่ยนแปลงเร็ว ส่วนความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ความปลอดภัยและการรักษาข้อมูลการรักษาของผู้มาใช้บริการ (S) รวมทั้งมีผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นของบริษัทเกิน 50% (G)
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก KLINIQ_Stock Note 240515_T