ก่อนไปคิดอะไร บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตปี 2567 อย่างไร หลัง 4Q66 TNP มีกำไรสุทธิ 48 ลบ. ดีเกินคาด โดยเติบโต 7%QoQ ตามผลฤดูกาล และเติบโต 13.9%YoY ซึ่งเป็นผลจาก 1) ยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 8.1%YoY จากยอดขายสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้น 0.8%YoY และรับรู้ยอดขายจากสาขาใหม่ที่มีเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4 แห่ง (ไตรมาสนี้มีเปิดสาขาเพิ่ม 2 แห่ง และปิด 1สาขาจากหมดสัญญาเช่า) ทำให้สิ้นปี 66 มีสาขารวม 45 แห่ง และ 2) SG&A/Sales ลดลงเป็น 9.4% จาก 4Q65 ที่ 9.9% หลังคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นและเกิดผลประหยัดต่อขนาดจากมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น หนุนให้ทั้งปี 2566 มีกำไรสุทธิ 156 ลบ. พลิกเติบโต 4.4%YoY หลังไปได้อะไร ผู้บริหาร TNP ตั้งเป้าปี 2567 มียอดขายรวมเติบโต 10%YoY แรงหนุนจาก 1) การเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิม หลังตลาดนักท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น และบริษัทมีแผนหาสินค้าใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูงมาจำหน่ายในร้านค้าเพิ่ม และ 2) การรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ โดยตั้งเป้าขยายสาขาใหม่อีก 4-5 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน (เชียงราย เชียงใหม่และพะเยา) ซึ่งการขยายสาขาจะทำอย่างระมัดระวังมากที่สุด โดยจะคำนึงถึงเศรษฐกิจในประเทศและอยู่ระหว่างติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยตั้งงบลงทุนไว้ 150-200 ลบ. สำหรับขยายสาขา ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน ปี 2567 คาดยอดขายสาขาเดิมจะเติบโตราว 2-3%YoY (ดีขึ้นจากปี 2566 ที่ -1%YoY) จากกำลังซื้อที่ดีขึ้น ตลาดท่องเที่ยวฟื้นตัว และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรการ Easy e-Receipt ซึ่งเมื่อบวกกับการรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ที่เปิดเพิ่มต่อเนื่อง จึงคาดจะช่วยหนุนให้ยอดขายรวมเติบโตได้ราว 5-10%YoY ขณะที่การมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นคาดจะทำให้มีอำนาจต่อรองกับคู่ค้าสูงขึ้นและเกิดผลประหยัดต่อขนาด ผลักดันให้ศักยภาพทำกำไรปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้เราคงคาดปี 2567 TNP จะมีกำไรสุทธิ 159 ลบ. เติบโต 2%YoY (ยังไม่รวม Upside จากมาตรการแจกเงินดิจิทัล) 1Q67 คาดกำไรจะเติบโตสดใส YoY หลังตลาดนักท่องเที่ยวฟื้นตัวและมีมาตรการ Easy e-Receipt กระตุ้นการใช้จ่ายช่วง 1 ม.ค.-15 ก.พ. อีกทั้งมอง TNP จัดเป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์บวกโดยตรงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาลที่จะทยอยออกมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นและ Upside Risk ต่อประมาณการในระยะถัดไป เมื่อบวกกับ บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยสิ้นปี 2566 แทบไม่มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเลย (Net Cash ราว 22 ลบ.) อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside น่าสนใจจากราคาเป้าหมายปี 2567 ที่หุ้นละ 20 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 3 ปีที่ 21x) และล่าสุดบริษัทยังประกาศจ่ายเงินปันผลจากกำไร 2H66 หุ้นละ 0.045 บาท (XD 7 มี.ค.) คิดเป็น Div. Yield 1.4% ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำ “ซื้อลงทุน” โดยเทคนิคมีแนวรับ 3.10-3.00 บาท และแนวต้าน 3.24-3.34 บาท ความเสี่ยงสำคัญ คือ ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อแย่กว่าคาด, แผนขยายสาขาต่ำกว่าคาด ส่วนความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ความปลอดภัยและการรักษาข้อมูลการรักษาของลูกค้าที่มาใช้บริการ รวมทั้งการมีผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นของบริษัทเกิน 50% |
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก TNP_Stock Note 240220_T |