ก่อนไปคิดอะไร บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตปี 2567 อย่างไร หลัง 4Q66 III มีกำไรสุทธิ 393 ลบ. แต่หากไม่รวมรายการพิเศษสุทธิราว 313 ลบ. ซึ่งหลักๆ เกิดจากรับรู้ผลกำไรจากลดสัดส่วนถือหุ้นใน ANI หลังเสนอขาย IPO ไป จะมีกำไรปกติ 80 ลบ. หดตัว 53%YoY ซึ่งมีสาเหตุจากรายได้รวมที่ลดลง 6%YoY จากมีปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจทำให้ไม่ได้รับรู้รายได้ของ TAC หลังขายให้แก่ ANI ปลายปีก่อน อีกทั้งค่าระวางยังลดลง ทำให้รายได้จาก Air freight (-18%YoY), Chemical (-5%YoY), Logistics (-38%YoY) ส่วน Sea freight (+11%YoY) ดีขึ้นจากฐานต่ำ นอกจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง YoY หลังทุกธุรกิจมีมาร์จิ้นลดลง ส่งผลให้ปี 2566 III มีกำไรปกติ 551 ลบ. ทรงตัว YoY แย่กว่าที่เราคาด แต่หากรวมรายการพิเศษจะมีกำไรสุทธิ 866 ลบ. เติบโต 8.9%YoY หลังไปได้อะไร ผู้บริหาร III ตั้งเป้าการเติบโตปี 2567 ไว้ที่ราว 15%YoY แรงหนุนทั้งจาก Organic และ Inorganic โดยในส่วน Organic (4 ธุรกิจหลักเดิม) คาดค่าระวางขนส่งทางเรือและทางอากาศผ่านจุดต่ำสุดแล้วและจะปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งบ. ร่วมทุน ANI เตรียมขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง อาทิ อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เป็นต้น และจะเริ่มให้บริการด้าน Freighter Service ด้วยเครื่องบินขนส่งสินค้าโดยเฉพาะ และมีเส้นทางบินของตัวเอง ส่วน Inorganic จะยังหาโอกาสขยายการลงทุนด้านโลจิสติกส์ทั้งในรูปของ JV และ M&A ซึ่งในปีนี้คาดจะได้ข้อสรุป 3-4 ดีล โดยแหล่งเงินทุนจะมาจาก CFO และกู้ยืม ซึ่งบริษัทมีศักยภาพกู้ยืมสูงเพราะยังมี Interest Bearing Debt/Equity ต่ำ 0.1 เท่า สำหรับธุรกิจให้บริการภาคพื้นดินในสนามบิน (AOTGA) คาดผลการดำเนินงานยังดีต่อเนื่องหลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว และกำลังหาโอกาสร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ ส่วนการประมูลงานให้บริการภาคพื้นดิน (สำหรับบุคคลที่ 3) ที่สนามบินสุวรรณภูมิคาดได้ข้อสรุปในปีนี้ ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน แม้มองปริมาณขนส่งและค่าระวางจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แต่การฟื้นตัวของค่าระวางขนส่งทั้งทางอากาศและทางทะเลที่ยังล่าช้ากว่าคาดมาก ทำให้คาดจะกดดันศักยภาพการทำกำไรของทั้งธุรกิจหลักและส่วนแบ่งกำไรในบริษัทร่วมฯ ให้ยังมีแนวโน้มอ่อนแอ ดังนั้นเพื่อยึดหลักระมัดระวัง เราจึงปรับลดประมาณการกำไร โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2567 III จะมีกำไรปกติ 575 ลบ. เติบโต 4.4%YoY (แต่กำไรสุทธิจะลดลง 33.6%YoY จากปี 2566 มีรายการพิเศษสุทธิ 315 ลบ.) แม้ล่าสุดบริษัทจะประกาศจ่ายปันผลจากกำไร 2H66 หุ้นละ 18 บาท คิดเป็น Div. Yield 1.9% (XD 30 เม.ย.) และเราประเมินราคาเป้าหมายใหม่ปี 2567 อยู่ที่หุ้นละ 10.70 บาท (อิง PER -1SD ที่ 15x จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี) มี Upside 13% แต่มองช่วงสั้นราคาหุ้นยังขาดปัจจัยกระตุ้น เนื่องจากแนวโน้มกำไรปี 2567 ไม่ได้เติบโตเด่น และมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามจาก ศก. โลกถดถอย กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Neutral” เพื่อรับปันผลและรอปัจจัยหนุนใหม่ๆ โดยคาดให้ Div. Yield ปีละ 4% ความเสี่ยงสำคัญ คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, ความผันผวนของค่าระวาง, ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีน ส่วนความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ส่วนความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม (E) และการจัดการด้านความปลอดภัย (S) |
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก III_Stock Note 240222_T |