เราเปลี่ยนมามีมุมมองระมัดระวังมากขึ้นต่อกำไรของธุรกิจสัตว์บกใน 2H68 (ลดลง HoH) จากราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนตัวลงจากอุปสงค์ที่ลดลงตามฤดูกาล การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานสุกรไทยจากการขาดแคลนคนงานชาวกัมพูชา และการเร่งระบายสุกรในเวียดนามออกมาขายจากการระบาดของโรค ASF และในปี 2569 (ลดลง YoY) จากอุปทานใหม่ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อกำไรจากธุรกิจสัตว์น้ำใน 2H68 (เพิ่มขึ้น HoH) จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้นตามฤดูกาล และในปี 2569 (เพิ่มขึ้น YoY) จากการรับรู้ประโยชน์จากโครงการ transformation มากขึ้น หาก ครม.อนุมัติลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำจากสหรัฐฯ (อย่างเร็วภายใน 6–12 เดือนข้างหน้า) จะหนุนให้กำไรเพิ่มขึ้น ผลกระทบต่อแรงงานจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา (ถ้ายืดเยื้อหรือรุนแรงขึ้น) จะทำให้กำไรลดลง TU เป็นหุ้นเด่น
แนวโน้มกำไร 2H68 หลังจากผ่านจุดสูงสุดของปีนี้ไปแล้วใน 2Q68 กำไรของผู้ประกอบการธุรกิจสัตว์บก (CPF, BTG, GFPT) จะอ่อนตัวลง HoH ใน 2H68 จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง (นำโดยราคาสุกรใน 3Q68TD) จากอุปสงค์ที่อ่อนแอตามฤดูกาล และปัญหาอื่นๆ เช่น การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมสุกรไทยจากการขาดแคลนคนงานชาวกัมพูชา และการเร่งระบายสุกรในเวียดนามออกมาขายหลังจากโรค ASF กลับมาระบาดอีกครั้ง ท่ามกลางต้นทุนอาหารสัตว์ที่ต่ำและผลกระทบเชิงลบบางส่วนต่อการดำเนินงานในประเทศไทยหลังจากคนงานชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ แต่ยังคงเพิ่มขึ้น YoY จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างทรงตัวท่ามกลางต้นทุนอาหารสัตว์ที่ต่ำ ขณะที่กำไรของผู้ประกอบการธุรกิจสัตว์น้ำ (TU) จะปรับตัวดีขึ้น HoH ใน 2H68 จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้นตามฤดูกาล และฐานที่ต่ำใน 1H68 ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และจะค่อนข้างทรงตัว YoY โดยมาร์จิ้นที่กว้างขึ้นจะช่วยชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเชิงลบ
แนวโน้มกำไรปี 2569 เราคาดว่ากำไรของผู้ประกอบการธุรกิจสัตว์บกจะลดลง YoY ในปี 2569 จากราคาสุกรในประเทศไทยและเวียดนามที่ลดลงจากฐานราคาที่สูงใน 1H68 และราคาไก่เนื้อในประเทศที่ลดลงเล็กน้อย (ส่วนหนึ่งถูกฉุดลงโดยราคาสุกรที่ลดลง) ท่ามกลางต้นทุนอาหารสัตว์ที่ทรงตัว ขณะที่เราคาดว่ากำไรของผู้ประกอบการธุรกิจสัตว์น้ำ (TU) จะปรับตัวดีขึ้น YoY ในปี 2569 จากมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้นจากการรับรู้ประโยชน์จากโครงการ transformation มากขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางต้นทุน transformation ในระดับทรงตัว โดยยอดขายจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเนื่องจากไม่มีประเด็นเรื่องความไม่แน่นอนของภาษีนำเข้า รวมถึงผลกระทบเชิงลบจากเงินบาทที่แข็งค่า เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2568
ผลกระทบจากอัตราภาษีนำเข้า/ส่งออกใหม่ของสหรัฐฯ ภาษีนำเข้า เมื่อวันที่ 1 ส.ค. รัฐบาลไทยได้อนุมัติร่างข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ที่รวมถึงการทยอยลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นศูนย์ โดยรายละเอียดเพิ่มเติมในแง่โควตาและระยะเวลาการนำเข้ายังไม่มีการเปิดเผย เนื่องจากต้องรอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ตามรายงานข่าว ประเทศไทยจะอนุญาตให้นำเข้าข้าวโพดไม่เกิน 3 ล้านตัน/ปี (โดยให้ใช้ข้าวโพดในประเทศก่อน) กากถั่วเหลือง 3 ล้านตัน/ปี DDGS 1 ล้านตัน/ปี และเนื้อหมูไม่เกิน 10,000 ตัน/ปี (<1% ของปริมาณการบริโภคเนื้อหมูไทยทั้งหมด) เมื่อรวมผลกระทบเชิงบวกจากการนำเข้าข้าวโพดต้นทุนต่ำจากสหรัฐฯ (โดยมีผลกระทบต่อต้นทุนเป็นกลางจากวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่นๆ ) กับผลกระทบเชิงลบเล็กน้อยจากการนำเข้าเนื้อหมูต้นทุนต่ำจากสหรัฐฯ (โควตา 10,000 ตัน) เราประเมิน upside ของกำไรอย่างคร่าวๆ ได้ที่ 5-10% สำหรับ CPF และ GFPT และ 10-15% สำหรับ BTG ซึ่งยังไม่ได้นำมารวมไว้ในประมาณการของเรา เนื่องจากต้องการรอผลโควตาและระยะเวลาการนำเข้าที่ชัดเจนก่อน ภาษีส่งออก ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับความได้เปรียบทางการแข่งขันของไทย เนื่องจากอัตราภาษีสำหรับประเทศไทยต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกับอัตราภาษีที่กำหนดสำหรับผู้ส่งออกอาหารทะเลคู่แข่งในเอเชีย TU เริ่มเห็นคำสั่งซื้อเข้ามามากขึ้นในระยะใกล้ แม้ว่าจะมีการกำหนดอัตราภาษีแล้วก็ตาม โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายในธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งที่ฟื้นตัวจากฐานต่ำใน 1H68 ราคาขายปลีกที่คาดว่าจะปรับขึ้นเล็กน้อยในระดับตัวเลขหลักเดียวจากการใช้อัตราภาษีใหม่ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบ (ถ้ามี) ต่อปริมาณการขายในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้
ผลกระทบจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชาต่อแรงงานใน 3Q68TD ผู้ประกอบการทุกรายมีคนงานชาวกัมพูชาอยู่ในกิจการในประเทศไทย: 20% ของคนงานทั้งหมดในประเทศไทยสำหรับ GFPT, 8-9% สำหรับ CPF, 8% สำหรับ BTG และ 0.5% สำหรับ TU หลังจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนทวีความรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนก.ค. ถึงต้นส.ค. คนงานชาวกัมพูชาในประเทศไทยประมาณ 50% ได้เดินทางกลับประเทศ ใน 3Q68TD ผลกระทบต่อ TU มีจำกัดเนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนคนงานชาวกัมพูชาต่ำเมื่อเทียบกับคนงานทั้งหมด ในขณะที่ผลกระทบต่อ CPF และ BTG อยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากบริษัทสามารถหาคนงานใหม่มาทดแทนคนงานที่เดินทางกลับประเทศได้แล้ว และให้ค่าล่วงเวลาแก่คนงานในปัจจุบัน โดยมีต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย และไม่ได้ทำให้การผลิตหยุดชะงัก GFPT ได้รับผลกระทบเชิงลบอยู่บ้างจากการเดินทางกลับประเทศของคนงานชาวกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 10% ของแรงงานทั้งหมด โดย 5% ได้รับการชดเชยด้วยการจ่ายค่าล่วงเวลาให้กับคนงานที่มีอยู่ ขณะที่อีก 5% ที่เหลือยังหาแรงงานมาทดแทนไม่ได้ หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไป อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อทั้งยอดขายและอัตรากำไร
หุ้นเด่นคือ TU เราคาดว่ากำไร 2H68 จะเพิ่มขึ้น HoH (เทียบกับผู้ประกอบการธุรกิจสัตว์บกที่ลดลง HoH) แต่จะอยู่ในระดับทรงตัว YoY (ซึ่งดีกว่ากำไรที่ลดลง YoY ใน 1H68) โดยได้แรงหนุนจากยอดขายที่เติบโตดีขึ้น (มีคำสั่งซื้อเข้ามามากขึ้นเพราะไม่มีประเด็นความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษี) และมาร์จิ้นที่ดีขึ้น การรับรู้ประโยชน์จากโครงการ transformation มากขึ้นท่ามกลางต้นทุน transformation ที่ทรงตัวจะช่วยหนุนให้กำไรเติบโตเพิ่มขึ้นในปี 2569
ความเสี่ยงที่สำคัญ: ราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแอจากกำลังซื้อที่เปราะบางและอุปทานที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนอาหารสัตว์สูง และเงินบาทแข็งค่า ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการขยะและน้ำ (E) สวัสดิภาพของลูกค้า คุณภาพผลิตภัณฑ์ นโยบายด้านสุขภาพและความปลอดภัย (S)
We are turning more cautious on livestock in 2H25 (down HoH) on lower product prices from seasonally lower demand, Thai swine supply chain disruptions without Cambodian workers and Vietnamese ASF-led swine supply dump, and in 2026 (down YoY) from more new supply. Aquatic earnings look better in 2H25 (up HoH) on seasonally better sales and margin and in 2026 (up YoY) on more transformation benefits. Cabinet approval of zero-tariff import of low-cost US feed (earliest in 6-12 months) will be earnings upside. The Thai-Cambodian conflict effect on labor would bring downside if prolonged or intensified. TU is our pick.
2H25F earnings. After passing this year’s peak in 2Q25, livestock earnings (CPF, BTG, GFPT) will slip HoH in 2H25 on lower product prices (led by swine prices in 3Q25TD) from seasonally weak demand and other issues: Thai swine supply chain disruption on loss of Cambodian workers and Vietnamese swine supply dump upon the reemergence of ASF, with low feed costs and some hit to Thai operations after Cambodian workers went home. YoY should grow from relatively stable product prices amid low feed costs. Aquatic earnings (TU) will improve HoH in 2H25 on seasonally better sales and margin and off 1H25’s low base during US tariff uncertainty and be stable YoY, with a wider margin offsetting the FX effect.
2026F earnings. We expect livestock earnings to fall YoY in 2026 on lower swine prices in Thailand and Vietnam off 1H25’s high price bases, slightly lower local broiler prices (partly eroded by lower swine price) and stable feed costs. We expect aquatic profit (TU) to improve YoY in 2026, with margin up on a steady rise in transformation benefit, stable transformation costs and a gradual rise in sales without 2025’s tariff uncertainty and strong THB effect.
Effect of new US import/export tariff. Import tariff. On Aug 1, the Thai government approved a draft trade statement with the US that includes a phased cut in import tariffs on US goods to zero. Details of import quota and timeline will be released after parliamentary approval. News reports say Thailand will allow import annual feed imports of 3mn tons of corn (prioritizing local feed corn), 3mn tons of soybean meal, 1mn tons of DDGS and less than 10,000 tons p.a. of pork (<1% of Thai pork consumption). Combining the positive from low-cost US corn imports (neutral cost impact for other feeds) and minimal negative from low-cost US pork imports, we estimate upside at 5-10% for CPF and GFPT and 10-15% for BTG earnings, not yet included in our forecast pending final quota and timeline. Tariff on exports. Thailand has lost no competitive advantage with a tariff close to those assigned to competitor seafood exporters in Asia. TU is seeing more orders in the near term even after tariffs were assigned, led by a return of sales in the ambient and frozen units off the low 1H25 base. Retail prices are expected to rise little from the new tariffs, so any sales volume impact would be manageable.
Effect from Thai-Cambodian conflict on labor in 3Q25TD. All players have some Cambodian workers in their Thai operations: at 20% of total workers in Thailand for GFPT, 8-9% for CPF, 8% for BTG, and 0.5% for TU. After the border conflict intensified in late July, about 50% of the Cambodian workers in Thailand returned home. In 3Q25TD, impact on TU is negligible, with a low portion of Cambodian workers, while impact on CPF and BTG is manageable, as they have replaced those who left and are offering overtime to current staff. This has raised labor costs insignificantly without production disruption. GFPT sees some adverse impact, with half of its Cambodian workers, or 10% of its total labor force leaving. Paying overtime to workers has taken care of 5% of this, with the remaining 5% left unfilled. This may negatively affect both sales and margin, if prolonged.
Top pick is TU. We expect 2H25F to grow HoH (vs down HoH on livestock players) but to be stable YoY, better than the YoY earnings contraction in 1H25, backed by better sales growth (more orders without tariff uncertainty) and margin. More transformation benefits amid stable transformation costs will help expand earnings growth in 2026F.
Key risks: Weak prices from fragile purchasing power and more supply, high feed costs and a strong THB. Key ESG risks are GHG emission, waste & water management (E), customer welfare, product quality, health & safety policies (S).
Download PDF Click > FOOD250825_E.pdf