Keyword
Petrochemicals & Chemicals
PDF Available  
บทวิเคราะห์รายอุตสาหกรรม

ปิโตรเคมี – แนวโน้มยังดูไม่สดใส

By ชัยพัชร ธนวัฒโน|7 Oct 24 10:44 AM
สรุปสาระสำคัญ

SETPETRO ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา outperform SET Index (+6%) โดยได้แรงหนุนจากปัจจัยมหภาคที่เกื้อหนุนมากขึ้น โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่นานนี้ เราเชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นแค่ช่วงสั้นๆ เนื่องจากนักลงทุนจะยังคงท่าทีระมัดระวังต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมีต่อไปจนกว่าจะมีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีมัยสำคัญมากขึ้นเพื่อฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์และเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะยาว เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไม่สมดุลกันอย่างมาก เรายังคงเรทติ้ง NEUTRAL สำหรับกลุ่มปิโตรเคมี โดยเลือก PTTGC เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside อีกมาก เราคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ IVL หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้ว 21% (-1M) ในขณะที่คาดว่า GGC จะปรับตัว underperform หุ้นอื่นๆ ในกลุ่มปิโตรเคมี เนื่องจากธุรกิจ ME มีมาร์จิ้นที่อ่อนแอ

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น รัฐบาลจีนเพิ่งประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์และเพิ่มสภาพคล่องในตลาดหลังจากประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพ.ค. 2567 เพื่อให้แน่ใจว่า GDP จะเติบโตถึงเป้าที่รัฐบาลจีนวางไว้ที่ 5% ในปี 2567 อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าตลาดจะยังคงท่าทีระมัดระวังต่อผลกระทบเชิงบวกของมาตรการเหล่านี้ เนื่องจากขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 7.5 ล้านล้านหยวน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 6% ของ GDP ทั้งหมด เทียบกับ 12.5% ​​ในปี 2551 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนผลักดันให้ราคาหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนในวันแรกหลังการประกาศ แต่ย่อตัวลงมาแล้ว 8% หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดล่าสุด

ปรับลดกำลังการผลิตช้าลง อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีการปรับลดกำลังการผลิตลงอย่างต่อเนื่องใน 9M67 โดยเฉพาะในยุโรป โดยได้แรงหนุนจากต้นทุนพลังงานและต้นทุนการผลิตระดับสูงและอุปสงค์ที่อ่อนแอในภูมิภาคดังกล่าวท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าตลาดยุโรปจะเผชิญกับความท้าทายในระยะยาว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้บริษัทไทยบางแห่งตัดสินใจปิดกิจการในยุโรป รวมถึง IVL ที่ปิดโรงงาน PET/PTA ในเนเธอร์แลนด์ ที่มีกำลังการผลิตรวม 1.126 ล้านตันต่อปี และ PTTGC ที่ปิดโรงงาน HDI/TDI ในฝรั่งเศส เราเชื่อว่าการปรับลดกำลังการผลิตจะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2568 เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ยังคงอยู่ในระดับต่ำ

แนวโน้มอุปสงค์ยังไม่แน่นอน เรายังคงมุมมองระมัดระวังต่อกลุ่มปิโตรเคมี แม้ว่าปีที่เลวร้ายที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว เนื่องจากเราคาดว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนกว่าอุปสงค์และอุปทานจะมีความสมดุลมากขึ้น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะทำให้กลุ่มปิโตรเคมีฟื้นตัวช้า โดยมีสาเหตุมาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากราคาน้ำมันระดับสูง และนโยบายการเงินที่ตึงตัวต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ ณ จุดนี้ เราชอบ PTTGC เพราะมาร์จิ้นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากการมีวัตถุดิบตั้งต้นอีเทนเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการแข่งขันที่ดีกว่าผู้ผลิตที่ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบ

แนวโน้มกำไร 3Q67 ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ผลประกอบการของบริษัทปิโตรเคมีไทยจะไม่มีทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากแต่ละบริษัทมีนโยบายการตั้งรายการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน ในขณะที่เราคาดว่า IVL จะรายงานกำไรที่ดีขึ้น QoQ ใน 3Q67 ซึ่งเป็นผลมาจากการบันทึกรายการด้อยค่าของสินทรัพย์จำนวนมากใน 2Q67 และส่วนต่างราคา integrated PET/PTA ที่ดีขึ้น แต่เราคาดว่าผลประกอบการของ PTTGC จะพลิกมามีขาดทุนสุทธิจากการบันทึกรายการด้อยค่าของ Vencorex ในยุโรป


Valuation จะอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องในปี 2568
เราคาดว่า valuation ของหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีไทยจะยังอยู่ที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับต่ำดังเช่นในปี 2566-9M67 แม้ว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เราชอบกลุ่มธุรกิจอะโรเมติกส์มากกว่ากลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์ เนื่องจากมีความเสี่ยงจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่า ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PX และเบนซีนใน 9M67 ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ในขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โพลีโอเลฟินส์และ PET อยู่ที่ระดับ 74% และ 50% ของค่าเฉลี่ย 5 ปี หุ้นเด่นในกลุ่มปิโตรเคมีของเรา คือ PTTGC (ราคาเป้าหมาย 37 บาท) เนื่องจากราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นช้ากว่าหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน


ปัจจัยเสี่ยง
การชะลอตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ในขณะที่ความผันผวนของราคาน้ำมันอาจทำให้เกิดขาดทุนสต๊อก ความเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ การด้อยค่าของสินทรัพย์และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการแทรกแซงของรัฐบาลในธุรกิจพลังงาน ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ผลกระทบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

Author
Slide12
ชัยพัชร ธนวัฒโน

นักวิเคราะห์อาวุโสกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5