เทรนด์ Wellness (ความเป็นอยู่ที่ดี) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย Global Wellness Institute (GWI) คาดมูลค่าเศรษฐกิจทั่วโลกด้าน Wellness (Global Wellness Economy) อยู่ที่ราว 6.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 และคาดเติบโต 7.3% เฉลี่ยต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า เมื่อพิจารณารายธุรกิจแล้ว การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ของโลกคาดเป็นธุรกิจที่จะเติบโตโดดเด่นราว 10.2% ต่อปี ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดในธุรกิจ Wellness Tourism เป็นอันดับที่ 15 ของโลก สะท้อนว่าประเทศไทยมีศักยภาพและโอกาสที่จะรองรับการเติบโตของ Wellness Tourism โลกได้
ในประเทศไทยเรามองว่าเทรนด์ Wellness Tourism เป็นการลงทุนระยาวที่การเติบโตจะชัดเจนและเฉพาะทางมากขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภค เช่น 1) การดูแลสุขภาพเชิงลึกและองค์รวม (Holistic and experiential programs), 2) การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เฉพาะทาง (Specialized medical wellness tourism), 3) ตลาด Wellness สำหรับกลุ่มเฉพาะ (Niche wellness market) และ 4) การผสานระหว่างธุรกิจที่มากขึ้น (Integrated wellness tourism ecosystem) โดยธุรกิจที่เรามองว่าได้ประโยชน์ คือ โรงพยาบาล (เช่น BDMS BH PR9 BCH CHG) การแพทย์เฉพาะทาง (เช่น MASTER KLINIQ MEDEZE) สปา (เช่น SPA ONSENS) ซึ่งเป็นการต่อยอดการเติบโตจากการท่องเที่ยวไทย คือ โรงแรม (เช่น AWC ERW CENTEL MINT) และ สนามบิน/สายการบิน (เช่น AOT AAV BA THAI)
การลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เรามองว่ามี 2 แนวโน้มหลักที่โดดเด่น คือ 1) ยาลดน้ำหนัก (GLP-1) การขยายขอบเขตของยากลุ่ม GLP-1 จากเดิมที่ใช้รักษาเบาหวานและลดน้ำหนัก ได้พัฒนาไปสู่การรักษาโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อเป้าหมายการมีอายุยืนพร้อมด้วยสุขภาพที่ดี โดยตลาด GLP-1 คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจาก 48.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ไปสู่ 268 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2034 2) การพัฒนาการรักษาโรคมะเร็ง ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่การรักษาแบบแม่นยำ เช่น ยาในกลุ่ม Antibody-Drug Conjugates (ADCs) การใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy: IO) ร่วมกับยาอื่นๆ หรือการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ , และ การพัฒนายาที่ออกฤทธิ์ต่อเป้าหมายใหม่ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยหุ้นที่เราชอบในยาลดน้ำหนักได้แก่ Eli Lilly ส่วนการพัฒนารักษาโรคมะเร็งเราชอบ Roche, Novartis และ Merck
