กระแสข่าวจากอินโดนีเซีย (ซึ่งต่อมาได้มีการชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง) ที่ว่าอีซูซุเตรียมย้ายฐานการผลิตรถบรรทุกออกจากประเทศไทยไปอินโดนีเซียได้สร้างความปั่นป่วนต่อราคาหุ้นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เมื่อวานนี้ ทั้งนี้หลังจากราคาหุ้นกลุ่มยานยนต์ร่วงลงระหว่างวัน 10-29% หุ้นทุกตัวก็ได้ปรับตัวกลับขึ้นมา ยกเว้น AH ที่ปิดตลาดราคาลดลง 7% ซึ่งเรามองว่าเป็นการปรับตัวลดลงมากเกินไป ในกลุ่มยานยนต์ AH เป็นหุ้นเด่นของเรา เนื่องจาก valuation น่าสนใจ และสัดส่วนยอดขายชิ้นส่วนรถ EV มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
อีซูซุปฏิเสธข่าวเตรียมย้ายฐานการผลิตจากไทยไปอินโดนีเซีย รายงานข่าวจากสื่อในอินโดนีเซียและประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ระบุว่ากระทรวงอุตสาหกรรมของอินโดนีเซียเปิดเผยว่า บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) เตรียมย้ายฐานการผลิตรถบรรทุกออกจากประเทศไทยไปอินโดนีเซีย และจะเริ่มการผลิตในปี 2567 อย่างไรก็ดี ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยระบุว่าถึงแม้อินโดนีเซียจะเป็นตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่งของอีซูซุ แต่บริษัทไม่มีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังอินโดนีเซีย เรามองว่าฐานการผลิตในประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของบริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศญี่ปุ่น): บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถกระบะขนาด 1 ตันชั้นนำในประเทศไทย โดยมีกำลังการผลิต 385,000 คัน/ปี หรือคิดเป็น 15% ของกำลังการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศไทย (ประเมินได้ที่ 2.5 ล้านคัน/ปี) และประเทศไทยถือเป็นส่วนสำคัญในตลาดเอเชียซึ่งคิดเป็น ~30% ของยอดขาย และ ~60% ของกำไรจากการดำเนินงานในปี FY2566 ของบริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศญี่ปุ่น) ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ในอินโดนีเซีย การผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่เป็นรถ MPV (รถอเนกประสงค์) ที่ ~52% ของกำลังการผลิตรถยนต์ทั้งหมด รุ่นที่ได้รับความนิยม คือ Toyota Avanza, Daihatsu Sigra, Honda Brio และ Mitsubishi Xpander โดยอีซูซุมีส่วนแบ่งเพียง ~3% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ในอินโดนีเซียในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566
ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ชิ้นส่วนที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยผลิตให้กับ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนสำหรับรถกระบะขนาด 1 ตันและรถ SUV โดย AH เป็นผู้ผลิตฐานรถกระบะรายหลักให้กับอีซูซุ และอีซูซุก็เป็นลูกค้าหลักของ AH โดยคิดเป็นสัดส่วน ~25-30% ของยอดขายของ AH ในขณะที่อีซูซุคิดเป็นสัดส่วน ~10% ของยอดขายของ SAT (เพลาข้าง) และ ~5% ของยอดขายของ STANLY (ชุดโคมไฟ) ทั้งนี้หลังจากที่เราได้พูดคุยกับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ บริษัทเหล่านี้ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในคำสั่งซื้อที่ยืนยันแล้วหรือคาดการณ์ไว้ และการผลิตตามคำสั่งซื้อของอีซูซุก็ยังเป็นไปตามปกติ
AH เป็นหุ้นเด่นของเรา ในบรรดาหุ้นผู้ผลิตส่วนยานยนต์ ราคาหุ้น AH ผันผวนมากที่สุดเมื่อวานนี้สืบเนื่องมาจากข่าวข้างต้น เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากอีซูซุค่อนข้างสูง ทั้งนี้หลังจากราคาหุ้นกลุ่มยานยนต์ร่วงลงระหว่างวัน 10-29% หุ้นทุกตัวก็ได้ปรับตัวกลับขึ้นมา ยกเว้น AH ที่ปิดตลาดราคาลดลง 7% ซึ่งเรามองว่าเป็นการปรับตัวลดลงมากเกินไป เรายังคงประมาณการของเราไว้ว่ากำไรปกติของ AH จะเติบโต 8% สู่ 1.8 พันลบ. ในปี 2566 ในขณะที่ยอดผลิตรถยนต์ของไทยจะเติบโตปานกลางในปี 2566 กำไรของ AH จะได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อชิ้นส่วน OEM ใหม่ที่รวมถึงชิ้นส่วนรถ EV ยอดขายชิ้นส่วนรถ EV อยู่ที่ ~700 ลบ.ในปี 2565 (3% ของยอดขาย) และ AH คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2566 โดยอิงกับคำสั่งซื้อที่บริษัทมีอยู่ในมือ หุ้น AH เทรดที่ PE ปี 2566 ระดับ 7.1 เท่า ต่ำกว่า SAT ที่ 8.3 เท่า และ STANLY ที่ 8.8 เท่า ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ของเราอยู่ที่ 44 บาท/หุ้น อ้างอิง PE 8.6 เท่า (ค่าเฉลี่ยในปี 2560-2561 ซึ่งเป็นช่วงที่กำไรของ AH เติบโตตามปกติ)
ปัจจัยเสี่ยง 1) ความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อรถยนต์ 2) การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งส่งผลทำให้ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์หยุดชะงัก และ 3) ระดับของการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านจากรถ ICE ของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ดั้งเดิม
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม AUTO230609_T