ธปท. ออกมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งประกอบด้วย: 1) การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (RL) 2) การแก้หนี้เรื้อรัง (PD) และ 3) การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้ (RBP) และการกำหนดภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) เราเชื่อว่ามาตรการเหล่านี้จะส่งผลลบต่อรายได้ดอกเบี้ย แต่จะส่งผลบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ เราคาดว่ามาตรการเหล่านี้จะไม่มีผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์อย่างมีนัยสำคัญ และจะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการนอนแบงก์เพียงเล็กน้อย โดยที่เราประเมินว่า AEONTS จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
มาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2566 ธปท. ได้ออกมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (RL): มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนม.ค. 2567 มาตรการนี้กำหนดให้สถาบันการเงิน (ทั้งธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์) ต้องให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมแก่ลูกหนี้ตลอดวงจรหนี้ เช่น 1) ต้องโฆษณาและเสนอขายผลิตภัณฑ์ โดยให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้องชัดเจน ไม่กระตุ้นให้ลูกหนี้เป็นหนี้เกินตัว; 2) พิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ ความจำเป็น และสถานการณ์สำหรับลูกค้าแต่ละราย; และ 3) สร้างความมั่นใจในคุณภาพและความเพียงพอในการช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาชำระหนี้ให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ทันท่วงที และเพียงพอ
2) การแก้หนี้เรื้อรัง (PD): ธปท. ให้คำนิยามลูกหนี้ที่เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรังว่าเป็นลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567 เป็นต้นไป ธปท.จะเริ่มบังคับใช้มาตรการแก้หนี้เรื้อรัง (PD) กับสินเชื่อส่วนบุคคลประเภทหมุนเวียน (revolving personal loan) สำหรับลูกหนี้ที่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาท/เดือน สำหรับธนาคารพาณิชย์ (รวมถึงนอนแบงก์ภายใต้การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารพาณิชย์) และ 10,000 บาท/เดือน สำหรับนอนแบงก์ ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการแก้หนี้เรื้อรังจะได้รับทางเลือกในการเปลี่ยนสินเชื่อหมุนเวียนมาเป็นแบบมีระยะเวลา (term loan) และคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี โดยจะกำหนดให้การผ่อนชำระสามารถปิดจบภายใน 5 ปี
3) การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้ (RBP): เจ้าหนี้ยอมให้คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามความเสี่ยงของลูกค้า สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการนี้จะต้องสมัครเพื่อทดสอบใน sandbox กับ ธปท. ก่อนดำเนินการ โดย sandbox จะเปิดในช่วงกลางปี 2567
4) การกำหนดภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR): มาตรการ DSR ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางดูแลความเสี่ยงเชิงระบบเพื่อดูแลการก่อหนี้ใหม่ ลดการก่อหนี้เกินตัว ให้ลูกหนี้มีรายได้หลังชำระหนี้เพียงพอต่อการดำรงชีพ มาตรการนี้คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568
ส่งผลลบต่อรายได้ดอกเบี้ย แต่ส่งผลบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ เราคาดว่ามาตรการแก้หนี้ครัวเรือนจะส่งผลลบต่อรายได้ดอกเบี้ย เนื่องจากมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง (PD) จะทำให้ดอกเบี้ยของผู้เข้าร่วมโครงการลดลงและการเติบโตของสินเชื่อชะลอตัวลงอันเป็นผลมาจากการชำระหนี้ที่เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้น่าจะทำให้คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นในระยะยาว ซึ่งจะช่วยประหยัด credit cost
ไม่ได้มีผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์อย่างมีนัยสำคัญ มีผลกระทบต่อนอนแบงก์เพียงเล็กน้อย มาตรการเหล่านี้จะไม่มีผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลประเภทหมุนเวียนค่อนข้างน้อย AEONTS มีสัดส่วนสินเชื่อส่วนบุคคล (ส่วนหนึ่งเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลประเภทหมุนเวียน) สูงที่สุดที่ 47% ดังนั้นคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง (PD) มากที่สุดที่ราว 10% จากการประเมินเบื้องต้นของเรา KTC มีสัดส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลสูงเป็นอันดับสองที่ 31% ในฐานะที่ KTC เป็นบริษัทย่อยของ KTB บริษัทจึงอยู่ภายใต้มาตรการแก้หนี้เรื้อรัง (PD) สำหรับลูกหนี้ที่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาท/เดือน แทนที่จะเป็น 10,000 บาท/เดือนเหมือนกับนอนแบงก์รายอื่นๆ หากลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ทุกรายเข้าร่วมโครงการ KTC ประเมินว่าจะส่งผลกระทบทำให้รายได้ดอกเบี้ยลดลงประมาณ 18 ลบ./เดือน (บ่งชี้ว่าสินเชื่อส่วนบุคคลของ KTC ราว 7% อยู่ภายใต้มาตรการแก้หนี้เรื้อรัง (PD)) ผลกระทบหลังภาษีเท่ากับ 2% ของประมาณการกำไรปี 2566 MTC มีสัดส่วนสินเชื่อส่วนบุคคล 11% ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีสัดส่วน PD สูงกว่าบริษัทอื่นๆ เราประเมินในเบื้องต้นได้ว่ามาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อกำไรของ MTC ราว 3% SAWAD มีสัดส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลที่ 5% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการปล่อยผ่านทาง SCAP (บริษัทย่อยที่ SAWAD ถือหุ้น 72%) ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่มีรายได้ต่อเดือนสูง (> 20,000 บาท) เราประเมินว่ามาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อกำไรของ SAWAD เพียง 1% ทั้งนี้ผลกระทบเชิงลบต่อรายได้ดอกเบี้ยจะถูกชดเชยโดยผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ และผลกระทบในท้ายที่สุดน่าจะเป็นกลาง
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม Bank&Finance230724_T