SSS ใน 2Q66TD ของกลุ่มพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่เจ็ดติดต่อกันที่ 4% YoY และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และฝนที่ตกน้อยและอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม SSS จะเติบโตในอัตราชะลอตัวลง YoY เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคอาจจะถูกบั่นทอนโดยความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และผลกระทบด้านลบที่คาดว่าเกิดขึ้นต่อรายได้เกษตรกรจากสภาวะเอลนีโญ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาลในเรื่องการขึ้นค่าแรงและการลดค่า Ft มีจำกัด ในขณะที่ประเด็นการยกเลิกการผูกขาดจะต้องติดตามต่อไป หุ้นเด่น คือ HMPRO CPALL และ CPAXT
SSS growth ใน 2Q66TD SSS ของกลุ่มพาณิชย์มีแนวโน้มเติบโต 4% YoY ใน 2Q66TD (เทียบกับ 8.8% YoY ใน 2Q65 และ 5.2% YoY ใน 1Q66) แม้ว่าจะเทียบกับฐานปกติของปีที่ผ่านมาและไม่มีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย “ช้อปดีมีคืน” เหมือนในช่วงวันที่ 1 ม.ค.–15 ก.พ. (ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 40,000 บาท สำหรับค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ) โดยได้รับการสนับสนุนจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้เกษตรกรและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และฝนที่ตกน้อยและอากาศที่ร้อนกว่าปกติ ซึ่งช่วยหนุนให้ยอดขายเครื่องดื่มและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เมื่อแยกตามบริษัท ใน 2Q66TD CPALL มีแนวโน้มที่จะรายงาน SSS เติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ในอัตราเลขหลักเดียวระดับสูง YoY ตามด้วย CPAXT (ตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY สำหรับธุรกิจ B2B และตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY สำหรับธุรกิจ B2C), HMPRO (ตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY), CRC (ตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY โดยการเติบโตของยอดขายในประเทศไทยและอิตาลีถูกลดทอนลงบางส่วนโดยยอดขายที่หดตัวลงในเวียดนามซึ่งคิดเป็น 24% ของยอดขาย จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว) และ BJC (ตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำถึงกลาง YoY) ในขณะที่ GLOBAL มีแนวโน้มที่จะรายงาน SSS หดตัวลงในอัตราเลขหลักเดียวระดับกลางถึงสูง YoY จากราคาเหล็กที่ลดลง
SSS จะเติบโต YoY ต่อเนื่อง แต่ในอัตราชะลอตัวลง เราคาดว่า SSS ของกลุ่มพาณิชย์จะเติบโต YoY ต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบเชิงบวกต่อยอดขายจากฝนที่ตกน้อยกว่าปกติและอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติในเดือนมิ.ย.-ส.ค. อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า SSS จะเติบโตในอัตราชะลอตัวลง เพราะความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบจากภาวะสุญญากาศทางการเมืองเป็นเวลานาน เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้องใช้เวลา และกำลังซื้อมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลงสอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่มีแนวโน้มเติบโตในอัตราชะลอตัวลง เนื่องจากสภาวะเอลนีโญจะเริ่มเกิดขึ้นใน 2H23
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล เมื่อพิจารณาจากนโยบายค่าแรงและค่าไฟฟ้าตามที่พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งสัญญาไว้ เราประเมินได้ว่าผลกระทบโดยรวมต่อกำไรของกลุ่มพาณิชย์จะเป็นกลาง เนื่องจากกำไรที่จะลดลง 6% จากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (+30%) จะถูกชดเชยโดยกำไรที่จะเพิ่มขึ้น 6% จากการลดค่าไฟฟ้า (-15%) สำหรับนโยบายหวยใบเสร็จตามที่พรรคก้าวไกลเสนอไว้นั้น เราประเมินได้ว่าผลกระทบต่อกลุ่มพาณิชย์จะคล้ายกับที่เห็นได้จากมาตรการคนละครึ่งในปี 2563-2565 ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมโครงการนี้ ในตอนนั้น เราสังเกตเห็นผลกระทบเชิงบวกเล็กน้อยต่อยอดขายกลุ่มธุรกิจ B2B (CPAXT) ผลกระทบเชิงลบเล็กน้อยต่อยอดขายกลุ่มสินค้าจำเป็น และผลกระทบที่เป็นกลางต่อยอดขายกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ในขณะที่จะต้องติดตามประเด็นการยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมต่อไป
หุ้นเด่น เราชอบ HMPRO เนื่องจากมีความเสี่ยง downside ต่อนโยบายรัฐบาลใหม่ค่อนข้างจำกัด โดยกำไรจะเติบโต 14% ในปี 2566 จากยอดขายที่ดีขึ้นและมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น โดยกำไรจะเพิ่มขึ้น QoQ ตั้งแต่ 1Q66 ถึง 4Q66 จากปัจจัยฤดูกาล นอกจากนี้ เรายังชอบ CPALL และ CPAXT เนื่องจากกำไรปี 2566 จะเติบโตที่ดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ฟื้นตัว โดยกำไร 2H66 จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงหลังจากรีไฟแนนซ์หนี้ที่มีต้นทุนสูงเสร็จในเดือนเม.ย.
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม Commerce230621_T