SSS ของกลุ่มพาณิชย์มีแนวโน้มที่จะผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้ไปแล้วที่ -1% YoY ใน 3Q67TD และจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของ 3Q67 และ 4Q67 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยและกำลังซื้อที่ดีขึ้นหลังจากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยงบประมาณรัฐบาลปี 2568 น่าจะได้รับการอนุมัติตามกำหนดเวลา รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่กำลังจะออกมา การกลับมาของลูกค้าหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย และนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น กำไรของกลุ่มพาณิชย์น่าจะทำจุดต่ำสุดใน 3Q67 และจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดของปีนี้ใน 4Q67 โดยจะเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล และ YoY จากการขยายสาขาและมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นท่ามกลาง SSS ที่ฟื้นตัว เรายังคงคาดการณ์ว่ากำไรปี 2567 ของกลุ่มพาณิชย์จะเติบโต 14% YoY ซึ่งยังไม่ได้รวม upside จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในเดือนก.ย. 2567 และดิจิทัลวอลเล็ตใน 4Q67) และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเข้ามาไว้ในประมาณการ หุ้นเด่นของเรา คือ CPALL และ HMPRO
ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว, SSS มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ใน 3Q67TD SSS น่าจะปรับตัวลดลงเฉลี่ย 1% YoY อ่อนแอที่สุดในรอบ 3 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ซบเซาและปัญหาลูกค้าเข้าร้านลดลงเพราะฝนตกหนักและน้ำท่วมในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า SSS จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของ 3Q67 และ 4Q67 จาก: 1) บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยและกำลังซื้อที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหลังจากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยงบประมาณรัฐบาลปี 2568 (ต.ค. 2567-ก.ย. 2568) มีแนวโน้มที่จะได้รับการอนุมัติตามกำหนดเวลา (การเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากฐานต่ำของปีก่อนในเดือนต.ค. 2566-เม.ย. 2567) ประกอบกับมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ รออยู่; 2) การกลับมาของลูกค้าหลังจากสิ้นสุดฤดูฝนที่มีฝนตกหนักและสถานการณ์น้ำท่วมในบางพื้นที่คลี่คลายลง; 3) นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในด้านกำไร เราคาดว่ากำไรของกลุ่มพาณิชย์จะทำจุดต่ำสุดใน 3Q67 จากนั้นจะปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดของปีนี้ใน 4Q67 โดยจะเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล สู่ระดับสูงที่สุดของปีนี้ และเพิ่มขึ้น YoY จากการขยายสาขาและมาร์จิ้นที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ SSS ที่ฟื้นตัวดีขึ้น เรายังคงคาดการณ์ว่ากำไรปี 2567 ของกลุ่มพาณิชย์จะเติบโต 14% YoY โดยได้รับปัจจัยหนุนจาก SSS ที่เพิ่มขึ้น (+0.3% YoY) การขยายสาขา (+5% YoY) และ EBIT margin ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น (+10bps YoY)
Upside จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ รัฐบาลใหม่กำลังพิจารณาออกมาตรการใหม่เร่งด่วน คือ การแจกเงินสด 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน ภายใต้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 1.45 แสนลบ. ก่อน โดยจะเริ่มแจกเงินภายในเดือนนี้ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ในขณะที่การแจกเงินให้กับประชาชนส่วนที่เหลือภายใต้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต (แจกเงิน 10,000 บาท ให้กับคนไทย 50 ล้านคน วงเงินรวม 4.5 แสนลบ.) จะเริ่มแจกเป็นเงินสดหรือดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 5,000 บาทใน 4Q67 และส่วนที่เหลืออีก 5,000 บาท จะแจกเป็นดิจิทัลวอลเล็ตในปี 2568 สำหรับเงื่อนไขการใช้จ่ายคาดว่าจะไม่มีการจำกัดประเภทสินค้าและร้านค้า หรือสถานที่ตั้งร้านค้า มาตรการดังกล่าวจะถูกส่งให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในวันที่ 17 ก.ย. เงื่อนไขที่ปรับปรุงใหม่นี้จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการค้าปลีกภายใต้การวิเคราะห์ของเรา โดยผู้ประกอบการทุกรายสามารถเข้าร่วมโครงการได้ แต่เรายังไม่ได้นำมารวมไว้ในประมาณการของเรา การวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่า SSS ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1% จะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นได้ 1%
Upside จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย การวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยลดลงทุกๆ 25bps จะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ปรับขึ้นได้ 0.8% ถ้า ธปท.ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง 75bps ในช่วงเวลา 1 ปีตามที่นักเศรษฐศาสตร์ของ INVX คาดการณ์ กำไรของกลุ่มพาณิชย์จะปรับเพิ่มขึ้นได้ 2.5%
หุ้นเด่น: CPALL และ HMPRO เราปรับราคาเป้าหมายที่คำนวณด้วยวิธี DCF ของหุ้นในกลุ่มพาณิชย์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% หลังจากเปลี่ยนมาใช้ราคาเป้าหมายกลางปี 2568 แทนสิ้นปี 2567 เราปรับคำแนะนำสำหรับ CRC ขึ้นสู่ OUTPERFORM แต่คงคำแนะนำสำหรับหุ้นตัวอื่นๆ ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง CPALL เป็นหุ้นเด่นของเรา เนื่องจาก valuation น่าสนใจ (ซื้อขายที่ PE ปี 2567 ระดับ 25 เท่า, -2SD จาก PE เฉลี่ย 10 ปี) ในขณะที่คาดว่ากำไร 2H67 จะเติบโต YoY ดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ นอกจากนี้เรายังชอบ HMPRO เนื่องจาก valuation ไม่แพง (ซื้อขายที่ PE ปี 2567 ระดับ 21 เท่า, -2SD จาก PE เฉลี่ย 10 ปี) ในขณะที่คาดว่ากำไร 2H67 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นป้าหมายการลงทุนสำหรับกองทุนวายุภักษ์ ประเภท ก. (ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ที่อัตราเฉลี่ย 3.7% ต่อปี, มี SET ESG Ratings ระดับ “AA”, และสถานะทางการเงินและการเติบโตที่น่าพอใจ)
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและนโยบายรัฐบาล ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และแนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน (S)