แผน PDP 2024 ฉบับใหม่มุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังน้ำ และไฮโดรเจน ในขณะที่จะเน้นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและถ่านหินน้อยลง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวล คือ ไทม์ไลน์ที่นานกว่าคาดสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ โดยกำลังการผลิตล็อตใหญ่ชุดแรกจะเริ่มดำเนินงานในปี 2575 นอกจากนี้ ราคา LNG ที่ปรับเพิ่มขึ้น 27.2% ใน 2Q67TD คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อมาร์จิ้นของธุรกิจ SPP ใน 2H67 เราเลือก GULF เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มสาธารณูปโภค เนื่องจากคาดการณ์ถึงผลการดำเนินงาน 2Q67 ที่แข็งแกร่ง และได้รับผลกระทบจากราคา LNG ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นๆ เรายังคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ GPSC และ BGRIM แผน PDP2024 มุ่งเน้นแหล่งพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เมื่อวันที่ 12-19 มิ.ย. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ สำหรับปี 2567-2580 โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้: 1) การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า: คาดว่าความต้องการไฟฟ้าในปี 2567-2580 จะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 3.5% ต่อปี โดยได้แรงหนุนจาก GDP ที่เติบโตเฉลี่ย 3.1% ต่อปี รวมถึงความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รถไฟความเร็วสูง และโครงการ green data center ที่เพิ่มขึ้น 2) เน้นการจัดหาไฟฟ้า: สนพ.วางแผนให้ความสำคัญกับแหล่งพลังงานหมุนเวียน โดยตั้งเป้าให้แหล่งพลังงานหมุนเวียนคิดเป็น 51% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2580 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ที่ตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพียง 36% ภายในปี 2580 นอกจากนี้ สนพ. ยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะลาว เป็น 15% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2580 จากเดิม 9% ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาด/สีเขียว และแก้ไขปัญหาอุปทานก๊าซที่ลดลง รวมถึงปริมาณสำรองที่ลดลงในอ่าวไทย สนพ. จึงวางแผนที่จะลดการพึ่งพาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยคาดว่าจะลดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติลงจาก 53% เหลือ 41% ภายในปี 2580 3) การกำหนดเพดานอัตราค่าไฟฟ้า: สนพ. ตั้งเป้ากำหนดเพดานอัตราค่าไฟฟ้าไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่คาดการณ์สำหรับแผน PDP 2024 ฉบับใหม่อยู่ที่ ~3.8704 บาทต่อหน่วย ในปี 2567-2580 ซึ่งต่ำกว่า 3.9479 บาทต่อหน่วยที่คาดการณ์ไว้ในแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 4) เกณฑ์โอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (LOLE): เพื่อวัตถุประสงค์ด้านความน่าเชื่อถือ แผน PDP 2024 ฉบับใหม่จึงใช้เกณฑ์ LOLE แทนเกณฑ์กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง (reserve margin) โดย LOLE ไม่ควรเกิน 0.7 วันต่อปี หรือ 17 ชั่วโมงจาก 8,760 ชั่วโมง ผลกระทบของแผน PDP ฉบับใหม่ต่อบริษัทสาธารณูปโภคของไทย เราคาดว่าแผน PDP 2024 ฉบับใหม่จะส่งผลดีต่อกลุ่มสาธารณูปโภคไทยในระยะกลางถึงระยะยาวยาว แผนฉบับใหม่นี้มุ่งเน้นการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าภายในประเทศไทย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมีความเสี่ยงต่ำกว่า ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม และติดตามได้อย่างใกล้ชิดมากกว่าโครงการในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอาจผิดหวังกับประเด็นสำคัญสองประเด็น ได้แก่: 1) ไทม์ไลน์ที่นานกว่าคาดสำหรับการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยกำลังการผลิตล็อตใหญ่ชุดแรกจะเริ่มดำเนินงานได้ในปี 2575 และ 2) สัดส่วนการนำเข้า LNG ที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนก๊าซสำหรับโรงไฟฟ้า SPP ที่ขายไฟฟ้าให้กับภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้น และมีแนวโน้มที่จะสร้างแรงกดดันต่อมาร์จิ้น ราคา LNG ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงสู่ US$12.1/ล้านหน่วยความร้อน บริติช (mmBTU) เมื่อไม่นานนี้ทำให้เกิดความวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น เนื่องจากประเทศไทยนำเข้าก๊าซ LNG ราว 20% ของก๊าซทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า หุ้นเด่น เรายังคงคำแนะนำ tactical call ระยะ 3 เดือน สำหรับ GULF ไว้ที่ OUTPERFORM ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสที่บริษัทจะเป็นผู้ชนะการประมูลทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (35GW ในแผน PDP 2024) และโครงการทดแทนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ (2.6GW) ที่กำลังจะมีขึ้น เรายังคงคาดว่ากำไรของ GULF จะแข็งแกร่งใน 2Q67 จากการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ GPD และ HKP เต็มไตรมาส เราคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ GPSC และ BGRIM แม้เราคาดว่ากำไร 2Q67 จะปรับตัวดีขึ้นจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ อย่างไรก็ตาม มี sentiment เชิงลบเกี่ยวกับแนวโน้มที่ต้นทุนก๊าซจะปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 3Q67 ซึ่งเป็นผลมาจากราคา LNG ที่สูงในปัจจุบัน ปัจจัยเสี่ยง ต้นทุนก๊าซสูงกว่าคาด ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การบริหารจัดการพลังงาน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และผลกระทบต่อชุมชนใกล้เคียง |
|||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก UTILITIES240617_T
|