![test_blog_details_img](/ResourcePackages/scbs/assets/dist/images/blog-details/smile-face.png)
เนื้อหาโดยรวม
![TSLA](/images/default-source/about-company/shutterstock_18039713898e62ad79-1553-4bfb-ac80-3be2029b4fe5.jpg?sfvrsn=404007f2_1)
งบ 3Q23 อ่อนแอสะท้อนผลกระทบจากการปรับลดราคาขาย....เตรียมส่งมอบ Cybertruckในช่วงพ.ย.
Tesla เผยงบ 3Q23 โดยรายได้อยู่ที่ $23.4bn น้อยกว่าคาดที่ $24.1bn อย่างไรก็ดียังคงเติบโต 13%YoY ด้านกำไรต่อหุ้นหดตัว 37%YoY อยู่ที่ $0.6 ต่ำกว่าคาดที่ $0.74 เช่นกัน ด้าน Gross margin (GM) ต่ำกว่าคาดและหดตัว 22%YoY อย่างไรก็ดีคงเป้าหมายการผลิตปี 23 ที่ 1.8 ล้านคันเช่นเดิม รวมถึงเตรียมส่งมอบ Cybertruck วันที่ 30 พ.ย.
มุมมองของ InnovestX
งบ 3Q23 ออกมาอ่อนแอเป็นผลจาก 1) การปรับลดราคาขายที่ส่งผลให้ Average Sale price (ASP) ลดลง ประกอบกับ GM ที่ลดลงอย่างชัดเจนอยู่ที่ 17.9% ซึ่งหากเทียบกับในปีก่อนที่ยังไม่มีการลดราคาอยู่ที่ 25.1% 2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ Cybertruck AI และ R&D อื่นๆ 3) ยอดส่งมอบและการผลิตที่ต่ำกว่าคาดหลังปรับปรุงโรงงาน
ระยะสั้น เรามองว่า Tesla ยังคงมีแรงกดดดันจาก 1) ภาพการแข่งขันทางด้านราคาระหว่าง Peers ในอุตฯ EV ที่ยังคงเพิ่มขึ้น 2) ความเสี่ยงจากการควบคุมของทางการ โดยล่าสุดสหภาพยุโรปได้ต่อต้านการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ EV ในจีนซึ่ง TSLA เป็นหนึ่งในบริษัทที่ผลิตรถในจีนและมีการส่งออกจากจีนไปยุโรป 3) อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงจนส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคที่บริษัทกังวลอยู่เช่นกันหลังกำลังประเมินปัจจัยมหภาคร่วมกับแผนการสร้างโรงงานในเม็กซิโก 4) แนวโน้มการปรับลดราคาขายที่ยังคงดำเนินอยู่ อย่างไรก็ดีเรามองว่าสามปัจจัยแรกเป็นปัจจัยมหภาคที่ส่งผลกระทบต่อบริษัททั่วทั้งอุตฯ นอกจากนี้ถึงแม้ Tesla จะมีแรงกดดันหลายปัจจัยแต่เรามองว่าบริษัทยังคงมีปัจจัยที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของธุรกิจและเยียวยาแรงกดดันได้จาก 1) การส่งมอบ Cybertruck ที่เริ่มใน 4Q23 ซึ่งบริษัทคาดว่าจะผลิตได้ราว 250,000 คันต่อปีและกระแสเงินสดเป็นบวกอย่างมีนัยสำคัญราว 1ปี – 1ปีครึ่ง 2) การหยุดโรงงานเพื่อ Upgraded ผ่านไปแล้วซึ่งจะช่วยหนุนกำลังการผลิตให้เพิ่มขึ้นและรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ประกอบกับแผนการลดต้นทุนต่อเนื่องที่ช่วยเพิ่มราคาขายต่อหน่วยซึ่งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาเยียวยาแรงกดดันจากการปรับลดราคาได้เช่นกัน 3) ในช่วง 1Q24 การพัฒนา Dojo Supercomputer AI ที่จะเอาไปใช้ในระบบขับขี่อัตโนมัติที่จะมีภาพการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในระยะยาวถึงแม้จะมีแรงกดดันจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นและสงครามราคา แต่เราเชื่อว่า Tesla จะยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำอุตฯและสามารถอยู่รอดในสงครามราคาได้หลัง 1) แบรนด์แกร่งหลังได้ประโยชน์จากการเป็นผู้เข้าตลาด EV รายแรกๆในอุตฯ 2) มีเทคฯที่ล้ำสมัย เช่น Dojo Supercomputer, Autonomous car, แบตเตอรี่ ฯลฯ ซึ่งสามารถ Disrupt กลุ่มรถยนต์และกลุ่มผลิตไฟฟ้าได้ 3) มีระบบนิเวศน์ที่ดี โดยมีการผลิตตั้งแต่แบตเตอรี่ ไปจนถึงมีเครือข่าย Supercharger ของบริษัทที่กระจายไปทั่วโลก 4) มีแผนลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่อเนื่อง รวมถึงมีการจัดการกับห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรในอนาคตให้เติบโตต่อเนื่อง
ในส่วนของมุมมองการลงทุน เรามองว่า Tesla ยังคงมี Downside จากปัจจัยมหภาคที่ยังคงดำเนินอยู่และแนวโน้มการปรับลดราคาขายที่อาจมากกว่าคาด ประกอบกับ Valuation ในปัจจุบันที่ค่อนข้างแพงโดยเทรดอยู่ที่ PE 76x ซึ่งสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ 38.2x ด้วยภาพนี้ทำให้เรายังคงแนะรอราคาปรับตัวลงรับแรงกดดันมากกว่านี้ก่อนและแนะมองจังหวะการลงทุนเพื่อทยอยสะสมในช่วง 220-230 USD ที่เราคาดว่าราคาในระดับนี้จะให้ Risk Reward ที่คุ้มค่าและหวังการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะถัดไป ด้าน Bloomberg ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 267USD ซึ่งมี Upside 6% จากราคาปัจจุบัน
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม Tesla_Offshore Stock 231019_T