![test_blog_details_img](/ResourcePackages/scbs/assets/dist/images/blog-details/smile-face.png)
เนื้อหาโดยรวม
![](/images/default-source/aboutboard/original-1604374309371.jpg?sfvrsn=7dca5f2f_1)
ก่อนไปคิดอะไร
- ผลการดำเนินงานที่เหลือของปี 2566 จะเป็นอย่างไร หลัง 1Q66 TNP มีกำไรสุทธิ 36 ลบ. หดตัว 13.5%QoQ ตามผลฤดูกาล แต่เติบโต 1.3%YoY ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่กำไรกลับมาเติบโต YoY หลังหดตัวต่อเนื่องมา 4 ไตรมาส ปัจจับหนุนหลักมาจากยอดขายรวมที่เพิ่มขึ้น 5.7%YoY โดยแม้ยอดขายสาขาเดิมจะหดตัว 7%YoY จากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวไม่ดี แต่ถูกชดเชยจากรับรู้ยอดขายเต็มไตรมาสของสาขาใหม่ที่มีเพิ่มขึ้น 4 สาขา (1Q66 มี 42 สาขา) เมื่อเทียบกับ 1Q65 ที่มี 38 สาขา ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.0% ทรงตัวจาก 1Q65
หลังไปได้อะไร
- ผู้บริหาร TNP มองตั้งแต่ เม.ย. บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากเข้าสู่ช่วงการเลือกตั้งและเทศกาลสงกรานต์ซึ่งมีการกลับบ้านเพื่อมาหาญาติผู้ใหญ่เพื่อรดน้ำดำหัว อีกทั้งยังมีการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย พะเยาและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านค้าธนพิริยะ จึงทำให้มีเม็ดเงินเดินสะพัดมาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงยังคงตั้งเป้าปี 2566 ยอดขายรวมจะเติบโตไม่น้อยกว่า 10%YoY จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม 2-3%YoY รวมทั้งจากการรับรู้ยอดขายเต็มปีจากสาขาใหม่ที่เปิดปีก่อน 4 แห่ง และยอดขายบางส่วนจากสาขาใหม่ที่มีแผนเปิดปีนี้อีก 5 แห่ง (สิ้นปีนี้คาดมีสาขาทั้งสิ้น 47 แห่ง เพิ่มจากปีก่อนที่มี 42 แห่ง) โดยงบลงทุนเปิดสาขาใหม่ตั้งไว้ที่ปีละ 150 ลบ.
ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน
- 2Q66 คาดผลการดำเนินงานจะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY แรงหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่คาดพลิกบวก YoY หลังกำลังซื้อและธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง อีกทั้งล่าสุดกิจกรรมการค้าตามด่านชายแดนเริ่มกลับมาเปิดปกติ ทำให้ลูกค้าเดิมที่หายไปมียอดคำสั่งซื้อสินค้ากลับมาค่อนข้างมากและลูกค้าที่สั่งอยู่แล้วได้สั่งซื้อสินค้ามากขึ้น รวมทั้งบริษัทยังจะรับรู้ยอดขายเต็มไตรมาสจาก 4 สาขาใหม่ที่เปิดปีก่อน และยอดขายบางส่วนจาก 2 สาขาใหม่ที่จะเปิดในไตรมาสนี้ (เชียงใหม่และเชียงรายอย่างละ 1 แห่ง)
- TNP เป็นหุ้นค้าปลีกขนาดเล็กที่มีศักยภาพเติบโตที่ดี โดยปี 2566 คงคาดมีกำไรสุทธิ 166 ลบ. พลิกเติบโต 11%YoY และยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยสิ้น 1Q66 ไม่มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายและมีฐานะเงินสดสุทธิราว 70 ลบ. อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside น่าสนใจจากกรอบราคาเป้าหมายปี 2566 ที่หุ้นละ 40-4.80 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 3 ปีที่ 21-23x) และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2566 อีกหุ้นละ 0.09 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 2.6% กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “หาจังหวะซื้อ” เพื่อรับกำไรที่กลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ปีนี้ไป
- ความเสี่ยงสำคัญ คือ ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อแย่กว่าคาด, แผนขยายสาขาต่ำกว่าคาด