ก่อนไปคิดอะไร บริษัทมองผลการดำเนินงานช่วงที่เหลือของปีนี้อย่างไร หลัง 1Q67 TNP มีกำไรสุทธิ 45 ลบ. เติบโต 23.8%YoY และอ่อนตัวลง 5.9%QoQ ตามผลฤดูกาล (4Q ปกติเป็น High Season ของธุรกิจค้าปลีก) ทั้งนี้การเติบโต YoY เป็นผลจาก 1) ยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 12.6%YoY จากยอดขายสาขาเดิมที่เติบโต 2.6%YoY หลังตลาดนักท่องเที่ยวฟื้นตัวและมีมาตรการ Easy e-Receipt กระตุ้นการใช้จ่ายช่วง 1 ม.ค.-15 ก.พ. ที่ผ่านมา อีกทั้งยังรับรู้ยอดขายจากสาขาใหม่ที่มีเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3 แห่ง (1Q67 ยังไม่มีเปิดสาขาใหม่) และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 5% จาก 17.0% ใน 1Q66 และ SG&A/Sales ลดลงเป็น 10.0% จาก 10.3% ใน 1Q66 หลังเกิดผลประหยัดต่อขนาดจากมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นและคุมค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังไปได้อะไร TNP เผยตั้งแต่ต้นปี-เม.ย. ที่ผ่านมา ยอดขายสาขาเดิมอยู่ในทิศทางที่ดี โดยมีอัตราการเติบโตเป็นบวก ซึ่งเป็นผลจากเน้นขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ตลาดนักท่องเที่ยวฟื้นตัว และการหาสินค้าใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูงมาจำหน่ายในร้านค้าเพิ่ม จึงทำให้ยอดขายยังเติบโตได้ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยจะพยายามผลักดันให้ยอดขายสาขาเดิมปีนี้เติบโต 3%YoY ซึ่งเมื่อรวมกับ การรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ โดยปีนี้ตั้งเป้าขยายสาขาใหม่ 4-6 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน (2Q67 เปิด 1 แห่ง ส่วนที่เหลือเปิด 2H67) ทำให้คาดปี 2567 ยอดขายรวมจะเติบโต 10%YoY ตามเป้าได้ TNP พร้อมขานรับมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ซึ่งหากมีความชัดเจนตามไทมไลน์คาดบริษัทจะได้รับผลบวกใน 4Q67 เช่นเดียวกันมาตรการอื่นๆ ของรัฐที่บริษัทได้อานิสงส์และเข้าร่วมโครงการเกือบทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมา อาทิ ช็อปดีมีคืน บัตรสวัสดิการคนจน คนละครึ่ง เป็นต้น ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน กำไร 1Q67 คิดเป็น 28% ของประมาณการทั้งปีซึ่งสูงเกินไป บวกกับ 2Q-4Q67 คาดกำไรจะยังเติบโตYoY จากยอดขายสาขาเดิมที่เติบโต 2-3%YoY หลังตลาดท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง อีกทั้งยังจะรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ที่มีเพิ่มขึ้น ขณะที่จำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นและคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นคาดจะทำให้มีอำนาจต่อรองกับคู่ค้าสูงขึ้นและเกิดผลประหยัดต่อขนาด หนุนให้ศักยภาพทำกำไรปรับตัวดีขึ้น เพื่อสะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าวเราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรตั้งแต่ปี 2567 จากเดิมเฉลี่ย 9% โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2567 TNP จะมีกำไรสุทธิ 173 ลบ. เติบโต 11%YoY ซึ่งยังไม่รวมมาตรการแจกเงินดิจิทัล โดยหากดำเนินการได้จะเป็น Upside ต่อกำไรใน 4Q67 และปี 2568 เรามอง TNP เป็นหุ้นค้าปลีกตัวเล็กที่ได้อานิสงส์บวกโดยตรงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล เมื่อบวกกับ บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดย 1Q67 แทบไม่มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเลย (Net Cash ราว 31 ลบ.) อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside น่าสนใจจากราคาเป้าหมายใหม่ปี 2567 ที่หุ้นละ 4.50 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 3 ปีที่ 21x เช่นเดิม) กลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำ “ซื้อ” โดยเทคนิคมีแนวรับ 3.40/3.32 บาท และแนวต้าน 3.60/3.70 บาท ความเสี่ยงสำคัญ คือ ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อแย่กว่าคาด, แผนขยายสาขาต่ำกว่าคาด ส่วนความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ความปลอดภัยและการรักษาข้อมูลการรักษาของลูกค้าที่มาใช้บริการ (S) รวมทั้งการมีผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นของบริษัทเกิน 50% (G) |
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก TNP_Stock Note 240513_T 3 |