![test_blog_details_img](/ResourcePackages/scbs/assets/dist/images/blog-details/smile-face.png)
เนื้อหาโดยรวม
ก่อนไปคิดอะไร
- ผลการดำเนินงานช่วงที่เหลือปีนี้จะเป็นยังไง หลัง 1Q66 NER มีกำไรสุทธิ 314 ลบ. ลดลง 33%YoY โดยแม้ปริมาณขายยาง 1.28 หมื่นตัน เพิ่มขึ้น 32.4%YoY แต่ถูกหักล้างด้วยราคาขายเฉลี่ยที่ 49 บาทต่อกก. ลดลง 15.5%YoY จึงทำให้ยอดขายโตแค่ 11.8%YoY และยังถูกกดดันด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็น 9.7% จาก 8% ใน 1Q65 หลังราคาขายยางลดลงเร็วกว่าต้นทุน ส่วนกำไรที่ลดลง 15%QoQ เกิดจากยอดขายหดตัว 12%QoQ (ปริมาณขายและราคาขายลดลง 7%QoQ และ 5%QoQ ตามลำดับ) และมาร์จิ้นที่ปรับตัวลง
หลังไปได้อะไร
- NER มองช่วงที่เหลือปีนี้ผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากความต้องการยางยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากการเปิดประเทศของจีนและความต้องการรถยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีการขยายตลาดลูกค้าใหม่ทั้งในไทย จีน สิงคโปร์ และอินเดีย (ตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตยางติด Top5 ของไทยภายในปี 2567) โดยบริษัทยังคงตั้งเป้าปี 2566 จะมีปริมาณขายยางราว 5.0 แสนตัน เติบโต 12%YoY ส่วนราคาขายยางอาจจะไม่สูงมากแต่คาดยังอยู่ในระดับที่ดี
- บริษัทมีแผนลดต้นทุนการผลิตด้วยการขยายกำลังการผลิตซึ่งจะทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด โดยปีนี้มีแผนเพิ่มกำลังผลิตอีก 5 หมื่นตันที่โรงงานเดิมแห่งที่ 2 และจะก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งมีกำลังผลิต 1.728 แสนตัน ใช้งบลงทุน 700 ลบ. (แหล่งเงินทุนจะมาจากกำไรสะสมและ CFO) ซึ่งคาดจะเปิดดำเนินการใน 1Q67 ส่งผลให้สิ้นปี 2566 จะมีกำลังผลิตรวม 5.156 แสนตัน จากปี 2565 ที่ 4.656 แสนตัน และจะเพิ่มเป็น 6.884 แสนตันในปี 2567 ทั้งนี้จะมีการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ภายในโรงงานแห่งที่ 3 เพื่อลดต้นทุนพลังงาน
ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน
- แม้ปี 2566 ปริมาณขายยางจะมีแนวโน้มเติบโต YoY ตามอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดประเทศของจีนและความต้องการยางรถ EV รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ แต่กำไรปกติ 1Q66 คิดเป็นเพียง 16% ของประมาณการทั้งปีซึ่งต่ำเกินไป เนื่องจากศักยภาพทำกำไรแย่กว่าคาดมากจากราคาขายที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดมาก เพื่อสะท้อนปัจจัยลบและยึดหลักระมัดระวัง เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ลงจากเดิม 16% โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2566 NER จะมีกำไรปกติ 1,625 ลบ. หดตัว 12%YoY
- กรอบราคาเป้าหมายใหม่ปี 2566 อยู่ที่หุ้นละ 4.80-5.30 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER เดิมที่ 5-6.0 เท่า) พบว่าไม่มี Upside ที่น่าสนใจแล้ว ซึ่งเมื่อบวกกับ 2Q66 คาดกำไรปกติยังมีแนวโน้มลดลง YoY ตามราคาขายยางเฉลี่ยที่ลดลง YoY จึงทำให้ขาดปัจจัยกระตุ้นการปรับขึ้นของราคาหุ้นในช่วงสั้นนี้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำ “ขายหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน”
- ความเสี่ยงสำคัญ คือ ความผันผวนของราคายางพารา, การถดถอยของเศรษฐกิจโลกและจีน, การแข็งค่าของเงินบาท