เราเชื่อว่ากำไรของ TU ผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้ไปแล้วใน 1Q67 และจะแข็งแกร่งขึ้นใน 2Q67 โดยจะเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล และ YoY จากยอดขายที่เติบโตดีขึ้นอันเป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและเงินบาทที่อ่อนค่า ประกอบกับมาร์จิ้นที่กว้างขึ้นนำโดยธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (ต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าที่แท้จริงลดลงท่ามกลางราคาผลิตภัณฑ์ OEM ที่ดีขึ้น) ตามมาด้วยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง และแรงหนุนจากการไม่มีผลขาดทุนจาก Red Lobster แผนการปรับธุรกิจ (เริ่มใน 2H67) จะช่วยหนุนให้ยอดขายและมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นในระยะยาว ทั้งนี้ หลังจากซื้อหุ้นคืนมาแล้ว 137 ล้านหุ้นที่ต้นทุนเฉลี่ย 14.7 บาท/หุ้น ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. บริษัทมีหุ้นที่สามารถซื้อคืนอีก 63 ล้านหุ้นจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. ซึ่งจะช่วยพยุงราคาหุ้นไม่ให้ปรับตัวลดลง เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ TU โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 18 บาท อ้างอิง PE 16 เท่า (PE เฉลี่ย 10 ปี) การดำเนินงาน 2Q67TD ปรับตัวดีขึ้น ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 ราคา spot ปลาทูน่าท้องแถบปรับตัวลดลง 23% YoY สู่ US$1,371/ตัน (เทียบกับ US$1,784/ตัน ในปี 2566) ขณะที่ใน 2Q67TD ราคา spot ปลาทูน่าท้องแถบปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 7% QoQ จากการจับปลาได้ลดลง สู่ US$1,428/ตัน TU คาดว่าราคาจะปรับขึ้นอีกใน 2H67 จากปัจจัยฤดูกาล แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ที่ไม่เกิน US$1,700-1,800/ตัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาขายผลิตภัณฑ์ทูน่าประเภทรับจ้างผลิต (OEM) ภายใต้สัญญาระยะสั้นในอนาคต ในขณะเดียวกัน ราคาขายผลิตภัณฑ์ทูน่าแบรนด์ภายใต้สัญญาระยะยาวมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับทรงตัวหรือลดลงในอัตราเลขตัวเดียวระดับต่ำ YoY ในปี 2567 ด้วยปัจจัยเหล่านี้ เราจึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน 2Q67TD จะปรับตัวดีขึ้น YoY และ QoQ นำโดยธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปจากราคาผลิตภัณฑ์ OEM ที่ปรับตัวดีขึ้นท่ามกลางต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าที่ลดลง (มีสต๊อกอยู่ในมือราว 5 เดือนโดยเฉลี่ย) และส่วนหนึ่งเกิดจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง (สัดส่วนการขายดีขึ้นโดยมีปริมาณการขายผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้น จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงผ่านทางการปรับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์) และธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง (ลดขนาดธุรกิจค้ากุ้งล็อบสเตอร์และปลาที่มีมาร์จิ้นต่ำในสหรัฐฯ) ใน 2Q67TD เงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและยูโรอ่อนค่าลง 5-6% YoY และ 2-3% QoQ เงินบาทที่อ่อนค่าและปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป จะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายของ TU เติบโต YoY และ QoQ ใน 2Q67 คงเป้าหมายปี 2567 TU คงเป้าหมายปี 2567 ไว้เหมือนเดิม โดยตั้งเป้ายอดขายเติบโต 3-4% YoY (เทียบกับ +2% YoY ใน 1Q67) และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 17-18% (เทียบกับ 17.1% ในปี 2566 และ 17.3% ใน 1Q67) โดยตั้งเป้าพัฒนาการเชิงบวกจะเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2567 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. Red Lobster ได้ยื่นเรื่องขอฟื้นฟูกิจการภายใต้กฎหมายล้มละลายมาตราที่ 11 ในสหรัฐฯ และดำเนินการหาผู้ซื้อต่อไป โดย TU เชื่อมั่นในความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบ สำหรับการทำธุรกรรมที่ผ่านมากับ Red Lobster ภายใต้เงื่อนไขเสมือนทำรายการกับบุคคลภายนอก (arm’s length basis) ในด้านการดำเนินงาน หลังจากปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน Red Lobster เป็นศูนย์ตามหลักความระมัดระวังใน 4Q66 แล้ว TU จะไม่ต้องบันทึกผลขาดทุนหรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ Red Lobster อีกต่อไป TU มองว่าการยื่นเรื่องขอฟื้นฟูกิจการภายใต้กฎหมายล้มละลาย จะช่วยให้กระบวนการขาย Red Lobster ทำได้เร็วขึ้น โดยจะเห็นความคืบหน้าใน 2H67 TU ใช้สมมติฐานตามหลักความระมัดระวังว่าจะไม่มีกำไรจากการขายสำหรับในธุรกรรมนี้ ประกาศเป้าหมายปี 2573 เมื่อมองต่อไปถึงปี 2573 TU ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 5-10% ต่อปี จากการขยายฐานลูกค้าเดิม/ใหม่ในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง การเน้นผลิตภัณฑ์แบรนด์ในธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปมากขึ้น การขยายตลาดในธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง และการเพิ่มธุรกิจใหม่ๆ ในหน่วยธุรกิจส่วนประกอบอาหาร (ingredients) โดยที่ยังไม่รวมการทำ M&A ซึ่งจะเน้นไปที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ TU ที่ช่วยเพิ่มผลกำไร บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับสูงกว่า 20% จากการมีผลิตภัณฑ์/ธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้น การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการนำระบบอัตโนมัติมาใช้มากขึ้น แผนการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจซึ่งจัดทำโดยที่ปรึกษาอิสระและวางแผนที่จะเริ่มดำเนินการใน 2H67 จะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายระยะยาวได้ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: แรงกดดันเงินเฟ้อ และการแข็งค่าของเงินบาท ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ ได้แก่ การบริหารจัดการพลังงาน ของเสีย และน้ำ ผลิตภัณฑ์ที่ยังยืน (E) นโยบายด้านสุขภาพและความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน (S) | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก TU240607_T
|