AWC รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 ที่ 1.1 พันลบ. (ทรงตัว YoY แต่ลดลง 9% QoQ) หากไม่รวมรายการพิเศษ พบว่ากำไรปกติอยู่ที่ 288 ลบ. เพิ่มขึ้น 129% YoY และ 42% QoQ โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจโรงแรมและการบริการที่แข็งแกร่งขึ้นและค่าใช้จ่ายภาษีที่ลดลง กำไรปกติเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ 19% เราคาดว่าโมเมนตัมกำไรของ AWC จะแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 4Q67 และปี 2568 AWC เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นของเราในกลุ่มท่องเที่ยว เราแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ AWC โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 4.4 บาท/หุ้น
3Q67: กำไรปกติเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ เป็นไปตามตลาดคาด แต่ดีกว่า INVX คาด AWC รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 ที่ 1.1 พันลบ. (ทรงตัว YoY แต่ลดลง 9% QoQ) หากไม่รวมการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน กำไรปกติอยู่ที่ 288 ลบ. เพิ่มขึ้น 129% YoY และ 42% QoQ โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจโรงแรมและการบริการที่แข็งแกร่งขึ้นและค่าใช้จ่ายภาษีที่ลดลง กำไรปกติเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ 19% จากค่าใช้จ่ายภาษีที่ลดลง
รายการที่สำคัญ:
กลยุทธ์ปี 2568 ของ AWC ธุรกิจโรงแรมและการบริการ: AWC จะมุ่งเน้นปรับปรุงการดำเนินงานโรงแรมและขยายกิจการโรงแรม โดยบริษัทวางแผนเปิดตัวโรงแรม Melia Pattaya ในเดือนธ.ค. 2567 Pattaya Marriott Resort & Spa at Jomtien Beach และ Fairmont Bangkok Sukhumvit ใน 1H68 ธุรกิจพื้นที่เช่า: AWC วางแผนเปิดตัวสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ Jurassic Park ที่ เอเชียทีค ใน 2Q69 ธุรกิจอาคารสำนักงาน: นอกเหนือจากการเปิดร้านอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มแล้ว AWC ยังวางแผนที่จะเพิ่มบริการ wellness ที่อาคาร เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ด้วย
คงประมาณการกำไร กำไรปกติ 9M67 คิดเป็น 71% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา และเรายังคงประมาณการกำไรของเราไว้เหมือนเดิม เราคาดว่ากำไรปกติ 4Q67 ของ AWC จะเติบโต YoY และ QoQ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวไทย และผลกระทบที่มีจำกัดจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดเชียงใหม่ในเดือนต.ค. เราคาดว่า AWC จะรายงานกำไรปกติเติบโตแข็งแกร่งในปี 2568 ที่ 23% เราแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ AWC โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 4.4 บาท/หุ้น ซึ่งประกอบด้วยมูลค่าโครงการใน pipeline ปี 2567-2569 ที่ 4.0 บาท /หุ้น และมูลค่าเพิ่มเติมจากโครงการระยะยาวหลังจากปี 2569 ที่ 0.4 บาท/หุ้น (อิงกับ WACC ที่ 6.6% และการเติบโตระยะยาวที่ 2%)
ปัจจัยเสี่ยง 1) เศรษฐกิจชะลอตัว 2) ต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร และ 3) การเพิ่มสินทรัพย์ที่กำลังพัฒนาในพอร์ตได้ช้า เรามองว่าความเสี่ยงด้าน ESG คือ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพทั้งก๊าซเรือนกระจก พลังงาน น้ำเสีย และของเสีย (E)