ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BCH ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% ดีกว่า SET ที่เพิ่มขึ้น 1% และเราเชื่อว่า BCH จะปรับตัว outperform SET ได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากการดำเนินงานและผลประกอบการที่แข็งแกร่งขึ้นใน 4Q66-ปี 2567 เราคาดว่ากำไรปกติจะเติบโต 18% สู่ 1.7 พันลบ. ในปี 2567 (ดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มการแพทย์ที่จะเติบโต 11%) โดยได้แรงหนุนจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงพยาบาลใหม่ เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ BCH ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF ที่ปรับใหม่เป็น 24 บาท/หุ้น (เพิ่มขึ้นจาก 23 บาท/หุ้น) และเลือก BCH เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มการแพทย์ การดำเนินงานจะแข็งแกร่งขึ้นใน 4Q66 การประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ ภาพรวมเป็นบวก โดย BCH ยังคงเป้ารายได้ในปี 2566 ไว้ที่ 1.25-1.3 หมื่นลบ. และคาดว่าการดำเนินงานจะแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 4Q66 โดยได้แรงหนุนจาก: 1) กลุ่มผู้ป่วยเงินสด (self-pay): รายได้จากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั้งจากผู้ป่วยคนไทยและผู้ป่วยต่างชาติ 2) บริการกลุ่มผู้ป่วยประกันสังคม (SC): การได้รับรายได้เพิ่มเติมสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) และรายได้ที่สูงขึ้นจากโครงการความร่วมมือกับสำนักงานประกันสังคมเพื่อให้บริการรักษาโรคซับซ้อน 5 โรค และ 3) ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงที่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ ใน สปป. ลาว หลังจากโรงพยาบาลแห่งนี้ชำระหนี้สกุลบาทครบทั้งหมดแล้วในเดือนก.ย. ปี 2567 จะเป็นปีที่ดีขึ้น BCH ตั้งเป้าหมายเบื้องต้นไว้ว่ารายได้จะเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจาก: 1) การขยายและปรับปรุงโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิมที่เริ่มทยอยแล้วเสร็จในช่วงเดือนพ.ค. 2566 - ม.ค. 2568 ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการผู้ป่วย 2) ความสามารถในการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น: เปิด ศูนย์มะเร็งรังสีรักษา เกษมราษฎร์อารี เพื่อให้บริการผู้ป่วยโรคมะเร็งใน 3Q67, เปิด Kasemrad Plastic SurgeryCenter เพิ่ม 2-4 แห่ง, ขยายศูนย์หัวใจเพื่อให้บริการเต็มรูปแบบที่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ฉะเชิงเทรา และเปิดศูนย์จีโนมิกส์เพิ่ม และ 3) การเพิ่มสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติจาก 17% ใน 9M66 สู่ 20% ในปี 2567 โรงพยาบาลใหม่ 3 แห่งมีการดำเนินงานดีขึ้น โรงพยาบาลใหม่ 3 แห่ง (โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ และ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี) รายงาน EBITDA รวม 20 ลบ. ใน 3Q66 ปรับตัวดีขึ้นจาก 15 ลบ. ใน 2Q66 BCH คาดว่าโรงพยาบาลสองแห่งแรก (ตั้งเป้าให้บริการผู้ป่วยเงินสด) จะคุ้มทุนที่ระดับกำไรสุทธิภายในสิ้นปี 2567 และโรงพยาบาลหลังสุด (ตั้งเป้าให้บริการผู้ป่วยประกันสังคม) จะคุ้มทุนที่ระดับกำไรสุทธิในเวลาต่อมาภายใน 1.5 ปี ปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น เราปรับประมาณการกำไรปกติของ BCH เพิ่มขึ้น 7% ในปี 2566 และ 6% ในปี 2567 เราคาดว่ากำไรปกติของ BCH จะทำจุดสูงสุดของปีนี้ใน 4Q66 โดยอิงกับการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง เราคาดว่ากำไรปกติจะเติบโต 18% สู่ 1.7 พันลบ. ในปี 2567 (ดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่เติบโต 11%) โดยอิงกับรายได้ที่เติบโต 7% (ยึดหลักความระมัดระวังมากกว่าเป้าของ BCH) และ EBITDA margin ที่ 27.0% (จาก 25.4% ในปี 2566) โดยได้แรงหนุนจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงพยาบาลใหม่ เราให้เรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ BCH ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF ที่ปรับใหม่เป็น 24 บาท/หุ้น (เพิ่มขึ้นจาก 23 บาท/หุ้น) โดยอิงกับ WACC ที่ 6.5% และการเติบโตระยะยาวที่ 3% ปัจจัยเสี่ยง เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การเกิดโรคระบาดใหญ่ที่จะส่งผลกระทบทำให้ผู้ป่วยชะลอการเข้าใช้บริการ การแข่งขันรุนแรง การขาดแคลนบุคลากร และความเสี่ยงด้านกฎหมาย |
|||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก BCH231123_T
|