เราคาดว่ากำไร 2Q67 จะลดลง 10.9% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 4.4% YoY จากปัจจัยฤดูกาล ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และปริมาณการผลิตเยื่อกระดาษที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงประจำปี (2 สัปดาห์) ของโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ เราคาดว่ากำไรจะฟื้นตัวใน 3Q67 จากการกลับมาผลิตเพิ่มขึ้นหลังจากวันหยุดยาว ประกอบกับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เติบโตสูงขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ราคาหุ้นที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ -2SD ของ PE mean ทำให้ downside มีจำกัด เราแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ SCGP โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 40 บาท อ้างอิง PE 25.9 เท่า หรือระดับ -1SD ของ PE mean คาดกำไรปกติชะลอตัวลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล เราคาดว่า SCGP จะรายงานกำไรปกติ 1.5 พันลบ. ใน 2Q67 ลดลง 10.9% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 4.4% YoY กำไรปกติที่คาดว่าจะลดลง QoQ หลักๆ เกิดจาก: 1) ปริมาณการขายผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ที่ลดลงทั้งในประเทศไทย (43% ของรายได้รวม) และประเทศอินโดนีเซีย (13% ของรายได้รวม) เนื่องจากมีวันหยุดยาว (เทศกาลสงกรานต์ในประเทศไทบ และฮารีรายอในประเทศอินโดนีเซีย) และต้นทุนวัตถุดิบ (เศษกระดาษ) ที่เพิ่มขึ้น 5% QoQ ซึ่งจะได้รับการชดเชยบางส่วนโดยราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2-3% QoQ ในทุกประเทศจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ SCGP ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบน้อยกว่าคู่แข่ง เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศอยู่ที่ระดับ 55% เทียบกับอุตสาหกรรมที่มีต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12-13% QoQ และ 2) สายธุรกิจเยื่อและกระดาษที่คาดว่าจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย QoQ จากการปิดซ่อมบำรุงประจำปีเป็นเวลา 2 สัปดาห์ของโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ และการบันทึกค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงจำนวน 100 ลบ. ซึ่งจะส่งผลทำให้ EBITDA ของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยรวมแล้วเราคาดว่ารายได้จะลดลง 3% QoQ และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงจาก 20% ใน 1Q67 สู่ 19% ใน 2Q67 ในขณะที่กำไรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น YoY เกิดจากปริมาณการขายและราคาบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้น รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น แนวโน้มกำไร 2H67 เราคาดว่ากำไรจะฟื้นตัวใน 3Q67 จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นหลังจากผ่านพ้นช่วงที่มีวันหยุดยาวในไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เติบโตสูงขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ รวมถึงการปรับเพิ่มราคาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ต้นทุนวัตถุดิบอย่างเศษกระดาษ และต้นทุนพลังงานถ่านหิน ก็คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัว สำหรับการซื้อหุ้น Fajar Paper เพิ่มเติม (44.48%) SCGP ได้เตรียมงบลงทุนไว้แล้ว 2.32 หมื่นลบ. ซึ่งประกอบด้วยกระแสเงินสดภายในกิจการ 8 พันลบ. และส่วนที่เหลือจะมาจากการออกหุ้นกู้และเงินกู้ยืม โดยคาดว่าจะมีต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ย 3% คิดเป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเติม 450 ลบ.ต่อปี เริ่มตั้งแต่เดือนก.ย. 2567 กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ ราคาหุ้น SCGP ปรับตัวลดลง 14.6% YTD มาเทรดที่ระดับ -1.5SD ของ PE mean บ่งชี้ว่าปัจจัยลบสะท้อนในราคาหุ้นไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้เรายังพบว่าปริมาณการขายชอร์ตสำหรับ SCGP ลดลงอย่างมาก เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ SCGP โดยให้ราคาเป้าหมาย 40 บาท อ้างอิง PE 25.9 เท่า หรือ ระดับ -1SD ของ PE mean เราคาดว่าการฟื้นตัวของผลประกอบการปี 2567 จะช่วยหนุนให้ราคาหุ้น SCGP ปรับตัวเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้าต่อเนื่อง และความไม่สงบทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ต้นทุนถ่านหินเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยังอยู่ระดับสูง (E) | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก SCGP240710_T 1
|