เราปรับราคาเป้าหมายของ TIDLOR เพิ่มขึ้นจาก 25 บาท สู่ 26 บาท และเลือกให้ TIDLOR เป็นบริษัทเงินทุนเพียงบริษัทเดียวที่ได้เรทติ้ง OUTPERFORM เนื่องจากเราคาดว่า TIDLOR จะรายงานกำไรปี 2567 เติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเงินทุน โดยได้รับการสนับสนุนสินเชื่อที่เติบโตดี รายได้ค่าธรรมเนียมที่แข็งแกร่ง และ credit cost ที่ลดลง หลังจาก NPL เกิดใหม่ทำจุดสูงสุดใน 2H66 NPL เกิดใหม่ และ credit cost ทำจุดสูงสุด TIDLOR ปรับเป้าอัตราส่วน NPL ปี 2566 ลดลงจาก 1.8% สู่ 1.65% (เทียบกับ 1.54% ณ 3Q66) เนื่องจากบริษัทเชื่อว่า NPL เกิดใหม่ทำจุดสูงสุดไปแล้วใน 3Q66 อย่างไรก็ตาม TIDLOR ยังคงเป้า credit cost ปี 2566 ไว้ที่ 3-3.35% เนื่องจากบริษัทกำลังพิจารณาเร่งตัดหนี้สูญเพิ่มอีกและกังวลเกี่ยวกับราคารถมือสองที่ลดลง เราคาดว่า credit cost จะเพิ่มขึ้น 6 bps QoQ สู่จุดสูงสุดที่ 3.15% ใน 4Q66 และจะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปจาก 3.1% (+84 bps) ในปี 2566 สู่ 3.05% ในปี 2567 TIDLOR เคลียร์งบดุลครั้งใหญ่ผ่านการตัดหนี้สูญในปี 2566 ซึ่งเราคาดว่าจะลดลงในปี 2567 ปรับประมาณการการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนการเปิดตัวบริการสินเชื่อโฉนดที่ดิน TIDLOR เปิดตัวบริการสินเชื่อโฉนดที่ดิน (อัตราดอกเบี้ย 15% ด้วย LTV ไม่เกิน 50%) ในเดือนพ.ย. และยังคงระงับการปล่อยสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ เราปรับประมาณการการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นจาก 19% สู่ 20% ในปี 2566 และจาก 17% สู่ 18% ในปี 2567 ลดผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น TIDLOR วางแผนเปลี่ยนมาใช้แหล่งเงินทุนจากการออกหุ้นกู้มากขึ้นแทนการกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นในปี 2567 ซึ่งเราคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 31 bps หลังจากเพิ่มขึ้น 48 bps ในปี 2566 (+25 bps QoQ ใน 4Q66) เราคาดอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อจะเพิ่มขึ้น 6 bps ในปี 2567 หลังจาก TIDLOR เลือกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกค้าตั้งแต่ 3Q66 เราปรับประมาณการ NIM ปี 2567 เพิ่มขึ้น 4 bps สู่ระดับที่ลดลง 15 bps ในปี 2567 หลังจากลดลง 49 bps ในปี 2566 ยังคงคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง TIDLOR ยังคงคาดว่าเบี้ยประกันวินาศภัยจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 20-25% ในปี 2566 เทียบกับ 28% YoY ใน 9M66 และ +34% ในปี 2565 เรายังคงประมาณการการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการไว้ที่ 22% ในปี 2566 และ 20% ในปี 2567 เราคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมและบริการจะลดลง QoQ ใน 4Q66 อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะอยู่ในระดับทรงตัวใน 4Q66 และปี 2567 TIDLOR คาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะยังอยู่ในระดับทรงตัวที่ mid-50% ใน 4Q66 และปี 2567 โดยหลังจากระงับการเปิดสาขาเพิ่มใน 1H66 TIDLOR ก็กลับมาขยายสาขาเพิ่มอีก 34 สาขาใน 3Q66 ส่งผลทำให้บริษัทมีสาขารวมทั้งหมด 1,662 สาขา ซึ่งสอดคล้องกับแผนเปิดสาขาเพิ่ม 50 สาขาใน 2H66 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะยังคงได้รับแรงกดดันจากรายจ่ายลงทุนด้าน IT ที่สูงขึ้น กำไรปี 2567 จะเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเงินทุน เราปรับประมาณการกำไรปี 2567 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอีก 2% จากการปรับประมาณการการเติบโตของสินเชื่อและ NIM เพิ่มขึ้น เราคาดว่ากำไรจะเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 2566 สู่ 21% (แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเงินทุน) ในปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจาก credit cost ที่ลดลง สินเชื่อที่เติบโตดี และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตแข็งแกร่ง เราคาดว่ากำไร 4Q66 จะเพิ่มขึ้น QoQ และ YoY โดยได้แรงหนุนจากรายได้ที่สูงขึ้นจากสินเชื่อที่เติบโตดีและรายได้ค่านายหน้าประกันภัยที่ดี คงเรทติ้ง OUTPERFORM และปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ TIDLOR ด้วยราคาเป้าหมายที่ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 25 บาท สู่ 26 บาท (PBV 2.15 เท่า หรือ PE 15 เท่า สำหรับปี 2567) ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: 1) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ทั่วถึง 2) ความเสี่ยงด้าน NIM จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น 3) การแข่งขันที่สูงขึ้นจากธนาคารต่างๆ และ 4) ความเสี่ยงด้านกฎหมาย | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก TIDLOR231127_T
|