ก่อนไปคิดอะไร
ผลการดำเนินงาน 4Q66 จะเป็นอย่างไร หลัง 3Q66 สร้างสถิติกำไรสุทธิรายไตรมาสนิวไฮ 71 ลบ. เติบโต 59%YoY และ 4%QoQ (ใกล้เคียงเราคาด 74 ลบ.) โดยการเติบโต YoY แรงหนุนจาก 1) ยอดขายรวมที่โต 36.8%YoY หลังมีการทำตลาดและมีบริการใหม่ๆ ทำให้ยอดขายสาขาเดิมโตเด่น 16.4%YoY อีกทั้งยังรับรู้ยอดขายจากสาขาใหม่ที่มีเพิ่มขึ้น 12 แห่งจาก 3Q65 และ 2) SG&A/Sales อยู่ที่ 39% ลดลงจาก 42.8% ใน 3Q65 หลังค่าใช้จ่ายของศูนย์ศัลยกรรมและ L.A.B.X ต่ำกว่า The Klinique อีกทั้งเกิดผลประหยัดต่อขนาดจากมีสาขามากขึ้น อย่างไรก็ดีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น 53.8% จาก 55.3% ใน 3Q65 เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากศูนย์ศัลยกรรมและ L.A.B.X ซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำกว่า The Klinique
หลังไปได้อะไร
บริษัทคงเป้ารายได้ปี 2566 ที่ 2.25 พันลบ. เติบโต 20-22%YoY และคาดเติบโตต่อ 20%YoY ในปี 2567 ปัจจัยขับเคลื่อนจาก 1) ยอดขายสาขาเดิมที่คาดโต 10%YoY จากลูกค้าเดิมมีความต้องการดูแลตัวเองเพิ่มขึ้น การหาลูกค้าใหม่ทั้งไทยและต่างชาติ (อาทิ จีน และ CLMV) รวมทั้งเพิ่มบริการใหม่ๆ และ 2) ยอดขายสาขาใหม่ ซึ่งมีแผนขยายสาขาอีกปีละ 10 แห่ง อย่างไรก็ดี ปีนี้บริษัทมีแผนขยายสาขา 14 แห่ง โดย 9M66 เปิดแล้ว 10 แห่ง และ 4Q66 จะเปิดอีก 4 แห่ง ภายใต้แบรนด์ The Klinique 1 แห่ง และ A.B.X 3 แห่ง โดยตั้งงบลงทุนปีละ 200 ลบ. ทั้งนี้แหล่งเงินทุนจาก CFO ที่ทำได้ปีละ 450 ลบ.และเงิน IPO 1.4 พันลบ.
ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน
กำไรสุทธิ 9M66 คิดเป็น 72.6% ของประมาณการทั้งปี และ 4Q66 คาดจะสร้างสถิติกำไรสุทธิสูงสุดของปีนี้ โดยยังเติบโตทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากบริษัทมีแผนทำตลาดและเพิ่มบริการใหม่ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมการขายในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ อีกทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่ดูแลสุขภาพและภาพลักษณ์มากขึ้นในทุกเพศทุกวัย คาดจะยังทำให้เห็นการเติบโตที่ดีต่อเนื่องของรายได้ในทุกแบรนด์ทั้ง The Klinique, ศูนย์ศัลยกรรมและ A.B.X ดังนั้นเราจึงคงประมาณการเดิม โดยคาดปี 2566 KLINIQ จะมีกำไรสุทธิ 290 ลบ. (+41%YoY) และเพิ่มเป็น 360 ลบ. (+24%YoY) ในปี 2567 ตามความต้องการดูแลตัวเองของลูกค้าที่มีมากขึ้น การมีบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ได้เพิ่มขึ้น และรับรู้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากขยายสาขาเชิงรุก
เรายังคงมุมมองบวกต่อ KLINIQ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงามของไทย โดยคาดผลการดำเนินงานจะเติบโตได้ดีในระยะยาว หลังความต้องการดูแลสุขภาพและภาพลักษณ์มีมากขึ้น อีกทั้งคาดจะได้อานิสงส์ตลาด Wellness ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และยังมีศักยภาพเติบโตได้ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน เพราะมีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มรายได้ระดับกลางถึงบนซึ่งมีกำลังซื้อสูงและเน้นมาตรฐานให้บริการเป็นสำคัญ โดยปี 66-67 คาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 32% อีกทั้งเราประเมินราคาเป้าหมายปี 2567 ด้วยวิธี DCF (อิง WACC ที่ 7.9% และการเติบโตระยะยาวที่ 3%) อยู่ที่หุ้นละ 49 บาท ซึ่งหากคิดเป็น PEG จะอยู่ที่ราว 1 เท่า และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 66 ที่หุ้นละ 1.05 บาท คิดเป็น Yield ปีละ 2.9%
ความเสี่ยงสำคัญ คือ มีภาวะการแข่งขันในธุรกิจมีสูง, พฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยีรักษาเปลี่ยนแปลงเร็ว, ระยะเวลา Silent period สำหรับกลุ่มก่อตั้งและลงทุนก่อน IPO ที่กำหนดไว้ใน 1 ปีสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. 66
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม KLINIQ_Stock Note 231115_T