ก่อนไปคิดอะไร
ปี 2566 มีเป้าหมายการเติบโตอย่างไร หลัง 4Q65 NER มีกำไรสุทธิ 368 ลบ. ลดลง 39.1%YoY และ 30.4%QoQ แย่กว่าคาด สาเหตุจาก 1) ยอดขายแย่กว่าคาด เนื่องจากปริมาณขายยางที่ 1.37 หมื่นตัน เพิ่มขึ้น 28.5%YoY และ 11.0%QoQ ถูกหักล้างด้วยราคาขายเฉลี่ยที่ 51.54 บาทต่อ กก. ลดลง 8.4%YoY และ 11.6%QoQ จึงทำให้ยอดขายโตเพียง 17.7%YoY และลดลง 1.9%QoQ และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นลดลงอยู่ที่ 10% จาก 4Q64 ที่ 14.4% และจาก 3Q65 ที่ 13.4% หลังราคาขายลดลงเร็วกว่าต้นทุนวัตถุดิบ ทั้งนี้ปี 2565 NER มีกำไรสุทธิ 1,748 ลบ. ลดลง 5.5%YoY และประกาศจ่ายเงินปันระหว่างกาลจากกำไรช่วง 2H65 หุ้นละ 31 บาท (XD 20 เม.ย. 66) คิดเป็น Div. Yield ราว 5.3%
หลังไปได้อะไร
ผู้บริหาร NER ตั้งเป้าปี 2566 จะมีปริมาณขายยางราว 5.0 แสนตัน เติบโต 12%YoY แรงหนุนจากการเปิดประเทศของจีนและความต้องการรถยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งบริษัทยังมุ่งขยายตลาดฐานลูกค้าใหม่ในยุโรป สหรัฐฯ และอินเดีย ซึ่งคาดจะหนุนคำสั่งซื้อยางให้เติบโตได้ ส่วนราคาขายยางคาดจะทยอยปรับตัวดีขึ้นจาก พ.ย. 65 และจะไปอ่อนตัวอีกครั้งใน 4Q66 ตามผลฤดูกาล ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะใกล้เคียง 2H65 ที่ 11-12%
บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังผลิตปีนี้อีก 5 หมื่นตันที่โรงงานเดิมแห่งที่ 2 และจะก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งมีกำลังผลิต 1.728 แสนตัน ใช้งบลงทุน 700 ลบ. แหล่งเงินทุนจะมาจากกำไรสะสมและ CFO ซึ่งคาดจะเปิดดำเนินการใน 1Q67 ส่งผลให้สิ้นปี 2566 จะมีกำลังผลิตรวม 5.156 แสนตัน จากปี 2565 ที่ 4.656 แสนตัน และจะเพิ่มเป็น 6.884 แสนตันในปี 2567 ส่วนแผนจำหน่ายแผ่นปูรองปศุสัตว์ ปัจจุบันบริษัทนำกลับไปพัฒนาอีกครั้งเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าและแข่งขันด้านราคาได้มากขึ้น โดยตั้งเป้ารายได้ขายแผ่นปูรองปศุสัตว์ใน 1H66 เพียง 6 ลบ.
ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน
แม้ปี 2566 คาดปริมาณขายยางยังโต YoY จากอุปสงค์ที่ดีขึ้นตามการเปิดประเทศของจีนและความต้องการยางรถ EV รวมทั้งบริษัทหาลูกค้าใหม่ๆ เพิ่ม แต่มาร์จิ้นคาดชะลอตัวตามราคายางที่แนวโน้มลดลง YoY (ม.ค.-ก..พ. 66 ราคายางลดลง 15-20%YoY) และยังมีต้นทุนการเงินสูงกว่าคาดจากการออกหุ้นกู้เพื่อล็อกต้นทุนดอกเบี้ย ดังนั้นเพื่อยึดหลักระมัดระวังเราจึงขอปรับลดประมาณการ โดยปี 66 คาด NER จะมีกำไรสุทธิ 1,887 ลบ. เติบโต 8%YoY
ภายใต้ประมาณการใหม่ กรอบราคาเป้าหมายปี 66 อยู่ที่หุ้นละ 60-6.10 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER เดิมที่ 5.5-6.0 เท่า) พบว่าไม่มี Upside แล้ว อีกทั้ง 1Q66 คาดกำไรปกติจะอ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล (4Q ปริมาณขายดีสุด) และลดลง YoY ตามราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง YoY ซึ่งทำให้ขาดปัจจัยกระตุ้นราคา กลยุทธ์ลงทุนช่วงสั้นจึงแนะนำให้หาจังหวะขายทำกำไรไปก่อน
ความเสี่ยงสำคัญ คือ ความผันผวนของราคายางพารา, การถดถอยของเศรษฐกิจโลกและจีน, การแข็งค่าของเงินบาท