ก่อนไปคิดอะไร
ปี 2566 ตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างไร หลัง 4Q65 TNP มีกำไรสุทธิ 42 ลบ. เติบโต 13.1%QoQ ตามผลฤดูกาล แต่หดตัว 21.5%YoY จากฐานปีก่อนที่สูงเนื่องจากมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐทั้งคนละครึ่งเฟส 3 และเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อย่างไรก็ดีอัตรากำไรขั้นต้นเริ่มดูดีขึ้น โดยอยู่ที่ 17.3% ทรงตัวจาก 4Q64 และสูงขึ้นจาก 9% ใน 3Q65 หลังบริหารสต็อกสินค้าได้ดีและมียอดขายเพิ่มในสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง หนุนให้ปี 2565 TNP มีกำไรสุทธิ 149 ลบ. ลดลง 22.4%YoY ซึ่งใกล้เคียงกับที่เราคาด แต่ตำกว่าที่ตลาดคาด
หลังไปได้อะไร
ผู้บริหาร TNP เผยปี 2566 ตั้งเป้ายอดขายรวมไม่น้อยกว่า 10%YoY แรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม 2-3%YoY หลังมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวมากขึ้นในจังหวัดเชียงราย พะเยาและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านค้าธนพิริยะ ส่วนที่เหลือจะเป็นการรับรู้ยอดขายจากสาขาใหม่ที่มีแผนขยายสาขาต่อเนื่องปีละ 5 แห่ง (สิ้นปีนี้คาดมีสาขาทั้งสิ้น 47 แห่ง เพิ่มจากปีก่อนที่มี 42 แห่ง) โดยงบลงทุนเปิดสาขาใหม่ตั้งไว้ที่ปีละ 150 ลบ.
บริษัทยังมีแผนเพิ่มศักยภาพทำกำไรให้สูงขึ้นด้วยการเพิ่มสินค้าใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูงเข้ามาจำหน่ายและจะบริหารต้นทุนสินค้าด้วยการสต็อกสินค้ารอขายให้เพียงพอเพื่อลดต้นทุนให้ไม่แพงมากเกินไป โดยยังคงตั้งเป้ามีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 17% อีกทั้งปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับซัพพลายเออร์ในการกระจายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร เพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต
ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน
1Q66 คาดจะเป็นจุดเริ่มต้นที่กำไรปกติกลับมาเติบโต YoY หลังหดตัวต่อเนื่องมา 4 ไตรมาสปัจจัยหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่คาดพลิกบวก YoY หลังได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐทั้งการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในเดือน ม.ค. อีก 200 บาท เป็น 400-500 บาท และโครงการช้อปดีมีคืน อีกทั้งธุรกิจท่องเที่ยวในเชียงรายยังสดใส ขณะที่ทั้งปี 2566 เราคงคาด TNP มีกำไรสุทธิ 166 ลบ. พลิกเติบโต 11%YoY ตามประมาณการเดิม
เรามอง TNP เป็นหุ้นค้าปลีกขนาดเล็กที่ยังมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside เกิน 10% จากกรอบราคาเป้าหมายปี 2566 ที่หุ้นละ 40-4.80 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER ที่ 21-23x) และล่าสุดบริษัทประกาศจ่ายเงินปันระหว่างกาลจากกำไรช่วง 2H65 หุ้นละ 0.045 บาท (XD 14 มี.ค. 66) คิดเป็น Div. Yield ราว 1.1% (หากรวมเงินปันผลที่จ่ายไปแล้วในช่วง 1H65 อีกหุ้นละ 0.035 บาท จะทำให้จ่ายเงินปันผลรวมปี 2565 ที่หุ้นละ 0.08 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 2.0% ตรงตามที่เราคาดไว้) ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “หาจังหวะซื้อ” เพื่อรับกำไรที่กลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป
ความเสี่ยงสำคัญ คือ ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อแย่กว่าคาด, แผนขยายสาขาต่ำกว่าคาด