การส่งมอบและยอดการผลิตรถยนต์ใน 3Q23 ต่ำกว่าคาด...มองส่งผลกระทบในเชิงลบต่องบ
- Tesla เผยยอดการผลิตรถยนต์ใน 3Q23 เพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาด 17.6%YoY อยู่ที่ 430,488 คัน และหดตัวลง 10.2%QoQ ขณะที่ยอดการส่งมอบรถยนต์เพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาด 26.5%YoY อยู่ที่ระดับ 435,059 คัน และหดตัว 6%QoQ เช่นกัน อย่างไรก็ดีบริษัทยังคงยืนยันเป้าหมายการส่งมอบในปี 23 ที่ระดับ 1.8 ล้านคันเช่นเดิม
มุมมองของ InnovestX
- ยอดส่งมอบที่ชะลอตัวในช่วง 3Q23 ได้รับผลกระทบจากการปิดปรับปรุงโรงงานเพื่อเตรียมการผลิตรถ EV Model 3 ใหม่และ Cybertruck ที่ยังไม่ได้เปิดตัว อย่างไรก็ดีถึงแม้ยอดส่งมอบจะอ่อนแอแต่ราคาหุ้นกลับปรับตัวขึ้นสวนทางซึ่งเรามองว่าตลาดตอบสนองเชิงบวกต่อการคงเป้าตัวเลขส่งมอบรถ FY23 ที่ระดับเดิม โดยหากอิงกับยอดส่งมอบรวมในช่วง 1Q23-3Q23 ที่ราว 1.3 ล้านคันสะท้อนได้ว่ายอดการส่งมอบในช่วง 4Q23 จะต้องอยู่ที่ราว 475,926 คันเพื่อให้ยอดส่งมอบทั้งปี FY23 เป็นไปตามเป้า ซึ่งที่ระดับนี้จะทำให้ยอดส่งมอบกลับมาโตอีกครั้งที่ระดับ 10%QoQ และ 17%YoY
- ในระยะสั้น เรามองว่า Tesla ยังคงมีแรงกดดดันจากหลายปัจจัย โดย 1) ด้วยภาพการส่งมอบใน 3Q23 ที่ออกมาอ่อนแออาจส่งผลให้งบออกมาต่ำกว่าที่คาด อย่างไรก็ดีมอง Cybertruck ที่จะเริ่มส่งมอบใน 4Q23 จะช่วยเยียวยาและหนุนให้ผลประกอบการเริ่มดีขึ้น 2) แนวโน้มการคาดการณ์ใน 2024 อาจจะมีการปรับลงเพราะยังไม่มีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตใน Berlin และ Austin 3) แนวโน้มการปรับลดราคาขายลงต่อเนื่องยังคงส่งผลกระทบต่ออัตราการทำกำไร อย่างไรก็ดีมองแผนการควบคุมต้นทุนของบริษัทช่วยเยียวยาประเด็นนี้ 4) ภาพการแข่งขันระหว่าง Peers ในอุตฯ EV ที่ยังคงรุนแรง 5) ความเสี่ยงจากการควบคุมของทางการ โดยล่าสุดสหภาพยุโรปได้ต่อต้านการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ EV ในจีนซึ่ง TSLA เป็นหนึ่งในบริษัทที่ผลิตรถในจีนและมีการส่งออกจากจีนไปยุโรปราว 9.4 หมื่นคันหรือ 47% ของการส่งมอบ ซึ่งหากว่ามีการตอบโต้อาจจะส่งผลกระทบกับผลประกอบการในระยะถัดไป
- ในระยะยาวถึงแม้จะมีแรงกดดันจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น แต่เรามองว่า Tesla จะยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำอุตฯหลัง 1) แบรนด์แกร่งหลังได้ประโยชน์จากการเป็นผู้เข้าตลาด EV รายแรกๆในอุตฯ 2) มีเทคฯที่ล้ำสมัย เช่น Dojo Supercomputer, Autonomous car, แบตเตอรี่ ฯลฯ ซึ่งสามารถ Disrupt กลุ่มรถยนต์และกลุ่มผลิตไฟฟ้าได้ 3) มีระบบนิเวศน์ที่ดี โดยมีการผลิตตั้งแต่แบตเตอรี่ ไปจนถึงมีเครือข่าย Supercharger ของบริษัทที่กระจายไปทั่วโลก 4) มีแผนลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่อเนื่อง รวมถึงมีการจัดการกับห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรในอนาคตให้เติบโตต่อเนื่อง
- ในส่วนของมุมมองการลงทุน เรามองว่าในระยะถัดไป Tesla ยังคงมี Downside หลัง 1) มีแรงกดดันจากหลายปัจจัยทั้งจากแนวโน้มงบที่ชะลอตัวใน 3Q23 การแข่งขันในอุตฯที่ยังคงดุเดือด และการควบคุมจากทางการยุโรป 2) ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับภาพแนวโน้มการทำกำไรที่ค่อนข้างจำกัดลงหลังมีการปรับลดราคาขาย ส่งผลให้ Valuation ในปัจจุบันค่อนข้างแพงโดยเทรดอยู่ที่ PE 76x ซึ่งสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ 38.2x ด้วยภาพนี้ทำให้เราแนะหลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะสั้น อย่างไรก็ดีสำหรับนักลงทุนในระยะยาวเรามองว่ายังคงสามารถลงทุนได้และแนะสะสมในช่วงที่ราคาย่อตัวลง ด้าน Bloomberg ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 267USD ซึ่งมี Upside 6% จากราคาปัจจุบัน
|
|
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม TESLA_Offshore Stock 231004_T