
งบ 2Q23 ดีกว่าคาดหนุนจาก NII ที่โต / มองแนวโน้ม NII ยังคงโต แต่จะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง 23
- Wells Fago (WFC) เผยงบ 2Q23 ดีกว่าคาด โดยรายได้เพิ่มขึ้น 20%YoY หนุนจาก NII เพิ่มขึ้น 29%YoY ด้านกำไรเพิ่มขึ้น 69%YoY หนุนจาก NIM ที่เพิ่มขึ้น 29%YoY ขณะที่รายได้รายธุรกิจภาพรวมเพิ่มขึ้น นำโดย Commercial Bank และ IB ซึ่งช่วยเยียวยาธุรกิจ Wealth ที่มีรายได้หดตัวลงได้ นอกจากนี้ WFC ปรับเพิ่มคาดการณ์ FY23 ขึ้น โดยมอง NII โต 10%YoY-14%YoY ขณะที่มองค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสู่ระดับราว $50.2bn - $51bn
มุมมองของ InnovestX
- เรามองว่าภาพรวมงบ WFC ออกมาแกร่งหลัง 1) NII และ NIM โตขึ้นดีเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและการเติบโตของสินเชื่อ ซึ่งถึงแม้ยอดเงินฝากเฉลี่ยจะยังคงหดตัวลงแต่เราเริ่มเห็นการชะลอการลดลงและสะท้อนได้ว่า WFC ยังคงมีสถานะที่ดีที่ได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจากวิกฤตสภาพคล่อง 2) แนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นหนุนจากส่วนบัตรเครดิตและเงินฝากที่มีความต้องการแกร่ง 3) ทุกกลุ่มธุรกิจยังคงโตแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่ม IB ที่ถึงแม้ธนาคารอื่นจะยังคงกังวลต่อธุรกิจนี้แต่ WFC นั้นมีรายได้โตกว่า 30%YoY นอกจากนี้ถึงแม้ Wealth จะโตหดตัวแต่เราเริ่มเห็นระดับการชะลอตัวที่ลดลงจากไตรมาสก่อนแล้ว 4) เห็นการตั้งสำรองหนี้เสีย (NPLs) ที่น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับเงินสำรอง CET1 อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า Peers ซึ่งอาจสะท้อนได้ว่า WFC มีเสถียรภาพของเงินทุนมากกว่า
-
- ขณะที่เรามองงบในช่วงที่เหลือของ FY23 จะยังมีแรงหนุนจาก NII ที่เพิ่มขึ้นแต่ในอัตราชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งปีแรกหลัง 1) แนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้การเติบโตของสินเชื่อลดลง รวมถึงทำให้ธนาคารมีความเสี่ยงในการตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้นเช่นกัน 2) วงจรการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯที่จะใกล้สิ้นสุดลง อาจทำให้ธนาคารได้รับประโยชน์จากภาพนี้น้อยลง ทั้งการเปลี่ยนจากเงินฝากไปลงทุนสินทรัพย์อื่นที่ได้รับผลตอบแทนมากกว่าและต้นทุนเงินฝากที่จะเพิ่มขึ้น 3) การควบคุมของทางการที่เข้มงวดขึ้นจนส่งผลให้ธนาคารจำเป็นจะต้องสำรองเงินไว้เพิ่มขึ้น 4) การปรับเพิ่มแนวโน้มค่าใช้จ่ายของ WFC เรามองว่ามีสาเหตุจากค่าชดเชยสูงขึ้นและการเลิกจ้างงานที่น้อยกว่าคาด ซึ่งเราคาดมีผลในระยะสั้นเท่านั้น ด้าน Bloomberg คาด NII ใน 2H23 จะหดตัว 5.6% จากครึ่งปีแรก ภาพนี้ทำให้เราเชื่อว่างบ FY23 อาจต้องใช้แรงหนุนจากการเติบโตของ NII ที่แกร่งใน 1H23 มาช่วยเยียวยาการเติบโตที่ชะลอตัวในครึ่งปีหลัง
- ในส่วนของมุมมองการลงทุนในระยะยาวเรามอง WFC ควรมีติดพอร์ตเพื่อการกระจายความเสี่ยงหลัง 1) มีความได้เปรียบด้านต้นทุน ประกอบกับมีแผนลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวหลังธนาคารพยายามที่จะทำให้ efficiency ratio กลับมาต่ำกว่า 60% 2 ) เป็นหนึ่งในผู้รับฝากเงินชั้นนำของสหรัฐฯ โดยมีจำนวนเงินฝากมากเป็นอันดับ 3 รองจาก JPM และ BAC เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายและสาขาธนาคารกระจายอยู่ทั่วสหรัฐฯ 3) ให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นผ่าน Dividend Yield ที่ค่อนข้างมั่นคงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี FY23 คาดอยู่ที่ระดับ 2.95
-
- ขณะที่ระยะสั้น เรามองว่า Upside ค่อนข้างจำกัดหลัง 1) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรับประเด็นผลประกอบการ จนทำให้ภาพมูลค่าหุ้นในปัจจุบันเทรดอยู่ที่ PE 12.8x ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีเล็กน้อยที่ 10x 2) ด้วยความที่ WFC เป็นหุ้น Cyclical (โดยรายได้กว่า 48% มาจาก Consumer Bank) ที่มีทิศทางผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ในระยะสั้นเรายังคงค่อนข้างกังวลต่อภาพเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่ยังคงดูไม่ดีมากนักสะท้อนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงซบเซาและแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนใน 2Q23 ที่ยังคงหดตัวลง ด้วยภาพนี้ทำให้เราแนะรอจังหวะการลงทุนในช่วงที่ราคาย่อตัวลงมาที่ราว $40 หรือต่ำกว่านั้น พร้อมคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วง 3Q23-4Q23 ซึ่งเรามองว่าตอนนั้นถึงเป็นจังหวะในการเข้าลงทุนที่ให้ Risk Reward ที่คุ้มค่ามากกว่าตอนนี้ด้าน Bloomberg ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 50.5USD ซึ่งมี Upside 12.9% จากราคาปัจจุบัน
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม WFC_Offshore Stock 230719_T