เมื่อวันที่ 30 ก.ค. AOT ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการหยุดประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้า สืบเนื่องจากมาตรการของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2567 เป็นต้นไป แม้ว่าเรื่องนี้ส่งผลทำให้เราปรับประมาณการกำไรของ AOT ลดลง แต่เรามองว่าเป็นการปลดล็อก overhang และราคาหุ้น AOT ที่ปรับตัวลดลง 12% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าปัจจัยลบสะท้อนในราคาหุ้นไปมากพอสมควรแล้ว เรายังคงมุมมองว่ากำไรของ AOT ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่เติบโต เราแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ AOT โดยปรับราคาเป้าหมายลดลงสู่ 70 บาท/หุ้น (จาก 78 บาท/หุ้น) การหยุดประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้า เมื่อวันที่ 30 ก.ค. AOT ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการหยุดประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าที่ท่าอากาศยาน 5 แห่ง: ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ สืบเนื่องจากมาตรการของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2567 เป็นต้นไป พื้นที่ร้านค้าปลอดอากรขาเข้าที่ขอคืนทั้งหมดจากผู้ประกอบการ คือ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัดอยู่ที่ ~2,250.6 ตร.ม. โดย AOT จะมีการปรับลดอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ (minimum guarantee) ที่เรียกเก็บกับผู้ประกอบการตามสัดส่วนพื้นที่ที่ขอคืน: 13% ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ 10% ที่ท่าอากาศยานอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลทำให้รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ของ AOT ปรับตัวลดลง AOT วางแผนพัฒนาพื้นที่ที่ขอคืนเพื่อปรับปรุงการให้บริการผู้โดยสารและแก้ไขปัญหาความแออัด โดย AOT คาดว่าผลกระทบของรายได้จะลดลงได้ในระยะกลางถึงระยะยาว เนื่องจากจะมีรายได้เพิ่มเติมจากกิจกรรมเชิงพาณิชย์อื่นๆ เช่น โครงการ Airport City (คาดในปี FY2568) ปรับประมาณการกำไรลดลง เราปรับประมาณการกำไรปกติของ AOT ลดลง 14% ในปี FY2567 และ 16% ในปี FY2568 เพื่อสะท้อน: 1) การหยุดประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้า 2) เพื่อให้สอดคล้องกับตัวเลขจริงใน 9MFY67 เราจึงปรับประมาณการจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศลดลงสู่ 74 ล้านคนในปี FY2567 และ 84 ล้านคนในปี FY2568 หรือ 88% และ 100% ของระดับก่อนเกิด COVID-19 (ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 76 ล้านคนในปี FY2567 และ 88 ล้านคนในปี FY2568 หรือ 90% และ 105% ของระดับก่อนเกิด COVID-19) และ 3) อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ลดลงสู่ 45.6% ในปี FY2567 และ48% ในปี FY2568 (จากประมาณการเดิมที่ 47.6% ในปี FY2567 และ 50.3% ในปี FY2568) ทั้งนี้หลังจากปรับประมาณการกำไร เราประเมินกำไรปกติของ AOT ได้ที่ 2.0 หมื่นลบ. ในปี FY2567 (+116% YoY) และ 2.4 หมื่นลบ. ในปี FY2568 (+20% YoY) การปรับประมาณการกำไรลดลงส่งผลทำให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF ปรับลดลงสู่ 70 บาท/หุ้น (จาก 78 บาท/หุ้น) โดยอิงกับ WACC ที่ 7.6% และการเติบโตระยะยาวที่ 2% เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ AOT พรีวิว 3QFY67 เราประเมินกำไรปกติ 3QFY67 (เม.ย.-มิ.ย. 2567) ได้ที่ 4.8 พันลบ. เพิ่มขึ้น 48% YoY แต่ลดลง 18% QoQ สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่ 17.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 27% YoY แต่ลดลง 11% QoQ คิดเป็น 90% ของระดับก่อนเกิด COVID-19 AOT จะประกาศผลประกอบการวันที่ 14 ส.ค. ความเสี่ยง การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งจะทำให้ความต้องการเดินทางลดลง ความเสี่ยงประเด็นสำคัญด้าน ESG คือ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (E) และประเด็นด้านสังคม เช่น ความปลอดภัย (S) |
|||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก AOT240731_T
|