เนื้อหาโดยรวม
ก่อนไปคิดอะไร - บริษัทมีแผนการดำเนินธุรกิจและเป้าหมายการเติบโตอย่างไร หลัง 1H66 มีกำไรสุทธิ 140 ลบ. เติบโต 39%YoY เนื่องจากมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นในทุกแผนกหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมา อีกทั้งมีการเพิ่มบริการและทำการตลาดมากขึ้น หนุนให้รายได้สาขาเดิมเติบโต 9.4%YoY เมื่อรวมกับรับรู้รายได้จากสาขาใหม่ จึงทำให้ยอดขายเติบโตเด่น 47%YoY
หลังไปได้อะไร - บริษัทเพิ่มเป้าหมายรายได้ปี 2566 จากต้นปีที่ 2 พันลบ. เป็น 2.25 พันลบ. โต 20-22%YoY และโตต่อ 20%YoY ในปี 2567 แรงหนุนจาก 1) ยอดขายสาขาเดิมคาดโต 10%YoY จากลูกค้าเดิมที่มีความต้องการดูแลตัวเองเพิ่มขึ้น การหาลูกค้าใหม่ทั้งไทยและต่างชาติ (อาทิ จีน และ CLMV) รวมทั้งการเพิ่มบริการใหม่ๆ และ 2) ยอดขายสาขาใหม่ ซึ่งมีแผนขยายสาขาอย่างน้อยปีละ 10 แห่ง อย่างไรก็ดี ปีนี้บริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มเป็น 14 แห่ง โดย 1H66 เปิดแล้ว 6 แห่ง และ 2H66 จะเปิด 8 แห่ง (ไตรมาสละ 4 แห่งใน 3Q-4Q66 ภายใต้แบรนด์ The Klinique 1 แห่ง และ A.B.X 7 แห่ง) เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น โดยตั้งงบลงทุนสำหรับขยายสาขาปีละ 200 ลบ. แหล่งเงินทุนจาก CFO ที่ทำปีละ 450 ลบ.และเงิน IPO 1.4 พันลบ.
ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน - เรามีมุมมองบวกต่อ KLINIQ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงามของไทย (เด่นด้านยกกระชับและรักษาผิวหนังโดยใช้เลเซอร์ และกำลังขยายตลาดศัลยกรรม) โดยคาดผลการดำเนินงานจะเติบโตได้ดีในระยะยาว หลังผู้บริโภคดูแลสุขภาพและภาพลักษณ์มากขึ้นในทุกเพศทุกวัย อีกทั้งทั่วโลกเข้าสู่สังคมสูงวัยและไทยมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ทำให้อุปสงค์มีแนวโน้มเติบโตได้ทั้งตลาดลูกค้าไทยและต่างชาติ
- 3Q66 คาดทำสถิติกำไรสุทธินิวไฮ 74 ลบ. เติบโต 66.7%YoY ปัจจัยหนุนจากยอดขายรวมที่คาดโตเด่น 30%YoY หลังมีลูกค้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นจากการทำตลาดและมีบริการใหม่ๆ ทำให้คาดยอดขายสาขาเดิมโตเด่น 10%YoY อีกทั้งยังรับรู้ยอดขายจากสาขาเปิดใหม่ที่มีเพิ่มขึ้น 12 แห่งจาก 3Q66 ขณะที่ทั้งปี 2566 คาด KLINIQ มีกำไรสุทธิ 290 ลบ. (+41%YoY) และเพิ่มเป็น 360 ลบ. (+24%YoY) ในปี 2567 ตามความต้องการดูแลตัวเองของลูกค้าที่มีมากขึ้น การมีบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ได้เพิ่มขึ้น และการรับรู้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากขยายสาขาเชิงรุก ส่วนมาร์จิ้นคาดทรงตัวที่ระดับ 55% เนื่องจากคาดรายได้จากศัลยกรรมที่เริ่มโตดีแต่มีมาร์จิ้นต่ำจะถูกชดเชยด้วยผลประหยัดต่อขนาดจากมีสาขาคลินิกผิวหนังความงามมากขึ้น
- เรามอง KLINIQ น่าสนใจลงทุน เนื่องจากจะได้อานิสงส์ตลาด Wellness ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และยังมีศักยภาพเติบโตได้ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน เพราะมีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มรายได้ระดับกลางถึงบนซึ่งมีกำลังซื้อสูงและเน้นมาตรฐานให้บริการเป็นสำคัญ โดยปี 66-67 คาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 32% อีกทั้งเราประเมินราคาเป้าหมายปี 2567 ด้วยวิธี DCF (อิง WACC ที่ 7.9% และการเติบโตระยะยาวที่ 3%) อยู่ที่หุ้นละ 49 บาท ซึ่งหากคิดเป็น PEG จะอยู่ที่ราว 1 เท่า และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 66 ที่หุ้นละ 1.05 บาท คิดเป็น Yield ปีละ 2.8%
- ความเสี่ยงสำคัญ คือ มีภาวะการแข่งขันในธุรกิจมีสูง, พฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยีรักษาเปลี่ยนแปลงเร็ว, ระยะเวลา Silent period สำหรับกลุ่มก่อตั้งและลงทุนก่อน IPO ที่กำหนดไว้ใน 1 ปีจะสิ้นสุดในวันที่ 6 พ.ย. 66
|
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม KLINIQ_Stock Note 231002_T