ผลิตภัณฑ์

  1. หุ้น เป็นหุ้นส่วนบริษัท ด้วยเงินหลักร้อย
  2. กองทุน เปิดพอร์ตแบบอีซี่.. มีมืออาชีพคอยดูแลให้
  3. Intelligent Portfolios เปิดโหมดอัตโนมัติสำหรับดูแลการลงทุน
  4. สินทรัพย์ดิจิทัล การลงทุนบนสินทรัพย์แห่งอนาคต
  5. ตราสารหนี้และหุ้นกู้ ลงทุนเพื่อผลตอบแทนระยะยาว
  6. ตราสารอนุพันธ์ มองการณ์ไกล ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
  7. บริการยืมและให้ยืมสินทรัพย์ ปล่อยเช่า-ขอยืมหุ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน
  8. กองทุนส่วนบุคคล มีผู้จัดการช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้น
  9. คู่มือการใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา

แหล่งความรู้ด้านการลงทุน

  1. เริ่มลงทุนก้าวแรก เริ่มลงทุนก้าวแรก
  2. ลงทุนตามสินทรัพย์ ลงทุนตามสินทรัพย์
  3. บทวิเคราะห์การลงทุน บทวิเคราะห์การลงทุน
  4. แหล่งความรู้ครอบจักรวาลการลงทุนเพื่อทุกคน แหล่งความรู้ครอบจักรวาลการลงทุนเพื่อทุกคน

ข่าวสารและโปรโมชัน

  1. โปรโมชันและสิทธิพิเศษเพื่อคุณ
  2. อัปเดตข่าวสาร
  3. ประกาศ
  4. Point to invest
  5. INVX Point​
scbs image

โปรโมชันและสิทธิพิเศษ

พิเศษสำหรับลูกค้า Innovestx เท่านั้นใช้พอยต์แลกกองทุนรวมที่โดนใจ

ดูเพิ่มเติม

เกี่ยวกับเรา

  1. เกี่ยวกับเรา ร่วมเติบโตอย่างยั่งยืนไปกับเรา InnovestX
  2. ร่วมงานกับเรา ก้าวไปข้างหน้าแบบมีสไตล์
ค้นหาล่าสุด
เคลียร์
{{GetHitSearchValue.keywordTitle}}

INVX Stock Note – NER 29/02/2024

blog_list_heading
29 ก.พ. 2567;
72
แชร์บทความนี้
test_blog_details_img

เนื้อหาโดยรวม

ก่อนไปคิดอะไร

บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตปี 2567 อย่างไร หลัง 4Q66 NER มีกำไรสุทธิ 462 ลบ. เติบโต 47.9%QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 4%QoQ หลังมีปริมาณขายยาง 1.27 หมื่นตัน เพิ่มขึ้น 13.5%QoQ (มีเลื่อนส่งมอบยางจากจีนมาจาก 3Q66) และราคาขายเฉลี่ยที่ 51.78 บาทต่อกก. เพิ่มขึ้น 3.4%QoQ อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 11.3% จาก 10.9% ใน 3Q66 หลังมีสัดส่วนยอดขายต่างประเทศเพิ่มเป็น 35% จาก 28% ใน 3Q66 ส่วนกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น 25.5%YoY เกิดจากคุมค่าใช้จ่ายได้ดี จึงทำให้ปี 2566 NER มีกำไรสุทธิ 1,546 ลบ. หดตัว 11.6%YoY แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ มีกำไรปกติ 1,582 ลบ. หดตัว 14.3%YoY ใกล้เคียงเราคาดที่ 1,532 ลบ. ทั้งนี้บริษัทจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2566 หุ้นละ 0.29 บาท (XD 22 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield 4.9%

หลังไปได้อะไร

NER ตั้งเป้าปี 2567 มียอดขายเพิ่มขึ้น 5-10%YoY ปัจจัยหนุนจากคาดมีปริมาณขายยางพารา 5.1 แสนตัน เพิ่มขึ้นจาก 4.97 แสนตันในปี 2566 (+2.6%YoY) จากความต้องการยางรถยนต์ โดยเฉพาะรถ EV ในจีนที่ดีต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทมีแผนขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ทั้งในไทย จีน สิงคโปร์ และอินเดีย ส่วนราคาขายยางเฉลี่ยคาดปรับขึ้น YoY โดย 1H67 มีโอกาสราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 บาทต่อกก. จากปกติเข้าสู่พีคราคายางในปลาย Q1-ต้น Q2 ขณะที่ 2H67 เป็นไปได้ที่ราคายางจะปรับลงซึ่งยังต้องติดตาม ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะดีขึ้นจากปี 2566 หลังราคาขายยางสูงขึ้น

บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังผลิตจากปัจจุบัน 156 แสนตัน เป็น 8.18 แสนตัน โดยปีนี้จะกลับมาเตรียมก่อสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 มีกำลังการผลิต 302,400 ตัน ซึ่งเฟสแรกจะมีกำลังผลิต 1.728 แสนตัน ซึ่งคาดจะสร้างเสร็จปลายปี 2567 และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2568 ส่วนเฟสสอง (เพิ่มเครื่องจักร) มีกำลังการผลิต 1.296 แสนตัน ซึ่งคาดจะสร้างเสร็จได้ในปี 2569 ทั้งนี้ตั้งงบลงทุนสำหรับขยายกำลังผลิตไว้ราว 1,485 ลบ. แหล่งเงินทุนจะมาจากเงินสดในกิจการ

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

ตั้งแต่ต้นปีราคายางแท่งและยางแผ่นรมควันของไทยปรับขึ้น 13%YTD และ 25%YTD ซึ่งนอกจากเกิดจากผลฤดูกาลที่เข้าสู่ช่วงปิดกรีดยางแล้ว ตลาดยังกังวลภาวะเอลนีโญจะกระทบอุปทานยางตึงตัว ซึ่งการปรับขึ้นของราคายางดังกล่าวแรงเกินคาด ทำให้มอง 1H67 NER จะมีกำไรเติบโต YoY (ภายใต้ปริมาณขายยางที่ทรงตัว) เพื่อสะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าว เราจึงปรับเพิ่มประมาณการ โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2567 NER มีกำไรปกติ 1,754 ลบ. เพิ่มขึ้น 13.5%YoY

ราคาหุ้น NER ปรับขึ้น 19%YTD ซึ่งมองสะท้อนความคาดหวังผลการดำเนินงาน 1H67 ที่จะเติบโตดี YoY ตามราคาขายยางที่ปรับขึ้นไปพอสมควรแล้ว ขณะที่มีความเสี่ยงที่ต้องจับตา คือ 1) ปกติอุปทานยางจะเพิ่มเข้ามาในฤดูกรีดยางในไตรมาส 2 (ตั้งแต่ พ.ค.) ซึ่งจะกดดันให้ราคายางเริ่มพลิกติดลบตั้งแต่ เม.ย. และ 2) อุปสงค์ยางรถยนต์ในตลาดโลก ซึ่งปีนี้ตลาดคาดยอดขายรถยนต์ทั่วโลกจะเติบโตชะลอตัวราว 2-3% จากเศรษฐกิจที่ซบเซา อีกทั้งเมื่อเราประเมินราคาเป้าหมายใหม่ปี 2567 อยู่ที่หุ้นละ 5.70 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 5 ปีที่ 6.0 เท่าเช่นเดิม) พบว่าไม่มี Upside จูงใจ ดังนั้นนักลงทุนระยะสั้นจึงแนะนำให้เพิ่มความระมัดระวัง โดยแนะนำ “หาจังหวะขายทำกำไรไปก่อน” ในช่วงที่ราคาหุ้นปรับขึ้นแรง ทั้งนี้ทางเทคนิคมีแนวต้านกรอบบนที่ 6.00 และ 6.50 บาท

ความเสี่ยงสำคัญ คือ ความผันผวนของราคายางพารา, การถดถอยของเศรษฐกิจโลกและจีน, ภาวะภัยแล้งจากปรากฎการณ์เอลนีโญอาจกระทบผลผลิต, การแข็งค่าของเงินบาท ส่วนความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การแปรรูปยางอาจก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศและเกิดน้ำเสียได้ อย่างไรก็ดี บริษัทบริหารจัดการกระบวนการผลิตอย่างเป็นระบบ และมีการติดตามผลต่อเนื่อง

                                                                                                 
                                                                                                ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก  NER_Stock Note 240229_T

                                                                                                กลับด้านบน