
เนื้อหาโดยรวม
บทวิเคราะห์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์จีน-สหรัฐ ในประเด็นไต้หวัน |
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐดูดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังการประชุม APEC: การพบกันของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงและประธานาธิบดีโจ ไบเดนประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นที่ดีหลายประการ ได้แก่ (1) การฟื้นฟูการติดต่อโดยตรงระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ (2) ความพยายามที่จะควบคุมการจัดหาสารเคมีตั้งต้นเพื่อผลิตเฟนทานิล (fentanyl) ซึ่งเป็นสารฝิ่นสังเคราะห์ และ (3) การอภิปรายในอนาคตเกี่ยวกับอันตรายของปัญญาประดิษฐ์ (AI) จีนจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของไต้หวัน: ในวันที่ 13 ม.ค. 2024 ไต้หวันจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ซึ่งมีความสำคัญในช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยพรรครัฐบาลและฝ่ายค้านมีมุมมองแตกต่างกันในประเด็นความสัมพันธ์กับจีนอย่างมีนัยสำคัญ โดยพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progressive Party: DPP) ของรัฐบาลประกาศสนับสนุนให้ไต้หวันเป็นอิสระจากจีน และเน้นด้านการกระชับความสัมพันธ์กับอเมริกาและพันธมิตร ในขณะเดียวกันก็พร้อมเพิ่มงบประมาณทางทหารผ่านการใช้จ่ายและการปฏิรูปด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้น ขณะที่พรรคฝ่ายค้านหลักอย่างก๊กมินตั๋ง (KMT) สนับสนุนการรวมชาติ โดยสัญญาว่าจะบรรเทาความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศด้วยการเปิดการเจรจากับจีนอีกครั้งบนพื้นฐานที่ว่าจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันเป็นประเทศเดียวกัน ล่าสุดพรรคฝ่ายค้านไต้หวันรวมตัวส่งผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โดย Hou Yu-ih จากพรรคชาตินิยมหรือ KMT และ Ko Wen-je จากพรรคประชาชนไต้หวัน (TPP) กล่าวว่าพวกเขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งร่วมกัน พวกเขาไม่ได้ตกลงกันว่าคนใดจะเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่เนื่องจากทั้งสองเป็นมิตรกับจีนมากกว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ที่เป็นพรรครัฐบาลในปัจจุบัน ดังนั้น ชัยชนะของทั้งสองฝ่ายจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กองทัพจีนพร้อมสำหรับสงครามแค่ไหน: กองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ของจีน ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย และน่าเกรงขาม แต่พิจารณาให้ละเอียดจะพบว่ายังมีจุดอ่อนหลายประการ ได้แก่ (1) การสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพ (2) ด้านเทคโนโลยี (3) ด้านคอรัปชั่น (4) เศรษฐกิจที่อ่อนแอ และ (5) นโยบายรวบอำนาจเบ็ดเสร็จของ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งไม่อนุญาตให้มีการถกเถียงเรื่องนโยบายได้อย่างจริงจังอีกต่อไป ทำให้การตัดสินใจเชิงนโยบายก็แย่ลงตามไปด้วย เราวิเคราะห์ว่า การหารือระหว่างผู้นำทั้งสองที่ประสบความสำเร็จในสัปดาห์ที่ผ่านมา บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธของรัฐบาลจีนจากความจริง 3 ประการหลัก คือ (1) เศรษฐกิจจีนอ่อนแอกว่าที่ทางการจีนเคยคาดไว้ และทำให้ทางการจีนต้องหันไปให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจมากขึ้น (2) โอกาสที่ไต้หวันจะได้พรรคฝ่ายค้าน (KMT และ TPP) ที่สนับสนุนให้ไต้หวันยกระดับความสัมพันธ์กับจีน จะได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งในเดือน ม.ค. 2024 มีสูงขึ้นมาก ทำให้ความเสี่ยงสงครามระหว่างจีนและไต้หวันลดลง (3) กองทัพประชาชนปลดแอกของจีน (PLA) อ่อนแอกว่าที่หลายฝ่ายเคยวิเคราะห์ การลดระดับความขัดแย้งกับสหรัฐลง ทำให้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงมีเวลาที่จะไปสร้างความเข้มแข็งภายในกองทัพ |