เนื้อหาโดยรวม
สรุปประเด็นการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกและไทยจากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และ Digital Wallet |
ณ เม.ย. 2024 มี 3 เหตุการณ์ที่ทำภาพเศรษฐกิจและนโยบายการเงินโลกเปลี่ยนไป อันได้แก่ (1) ภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น (2) เศรษฐกิจโลกปรับตัวดีเกินคาด และ (3) สัญญาณจาก Fed ที่จะลดดอกเบี้ยช้าลง สถานการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาสรุนแรงมากขึ้น โดยล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า อิสราเอลได้ทำการโจมตีดินแดนอิหร่านในวันที่ 19 เม.ย.ด้วยโดรน สำนักข่าวฟาร์นิวส์ของอิหร่านรายงานก่อนหน้านี้ว่า มีเสียงระเบิดเกิดขึ้น 3 ครั้งใกล้กับฐานทัพทหารซึ่งตั้งอยู่ในเมืองอิสฟาฮาน การโจมตีครั้งนี้ยืนยันมุมมองของเราที่ว่า ขณะนี้ ความรุนแรงได้เคลื่อนเข้าสู่สถานการณ์ Shadow war หรือสงครามเงา ตามที่เราได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าแล้ว ทั้งนี้ เรายังคงยืนยันมุมมองเดิมว่า ในช่วงนับจาก 1 เดือน จนกระทั่งก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ความรุนแรงด้านภูมิรัฐศาสตร์จะเพิ่มขึ้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น อาจเข้าสู่สถานการณ์สงครามตัวแทน (Proxy war) เต็มรุปแบบ เราปรับความน่าจะเป็นของสถานการณ์ต่าง ๆ หลังความชัดเจนมีมากขึ้น โดยเรามองว่า Shadow war จะเป็นสถานการณ์หลัก โดยในสถานการณ์ดังกล่าว ราคาน้ำมันเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลทำให้ Fed ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ขณะที่ธปท. ไม่ลดดอกเบี้ยทั้งปีนี้ ขณะที่สถานการณ์ที่เป็นไปได้อันดับที่ 2 ได้แก่ สถานการณ์สงครามตัวแทน (Proxy war) รวมถึงปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐตามทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเกินคาดในปัจจุบัน สถานการณ์เศรษฐกิจโลกดูดีขึ้น แต่ความเสี่ยงวิกฤตการเงินและ/หรือเศรษฐกิจมีมากขึ้น โดยแม้ว่าสัญญาณเศรษฐกิจโลกจะดูดีขึ้นในปีนี้ จาก เงินเฟ้อที่ลดลง ทำให้รายได้ที่แท้จริงเพิ่มขึ้น และจากอีกส่วนจากสินค้าคงคลังที่หมดลง ทำให้วัฐจักรการผลิตเริ่มกลับมา แต่เรากังวลวิกฤตการเงิน/เศรษฐกิจ (จากดอกเบี้ยสูง) มีมากขึ้น การผิดนัดชำระนี้มีมากขึ้น โดยเฉพาะบัตรเครดิตที่สูงเป็นประวัติการณ์ ภาพเหล่านี้ทำให้เรามองว่ายังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดวิกฤตการเงินและ/หรือเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นจะส่งผลต่อดอกเบี้ยสหรัฐมากกว่าประเทศอื่น ๆ ทำให้เกิดความเสี่ยงเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยแรงผลักดันเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐ เป็นผลจากราคาน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งด้วยประมาณการเงินเฟ้อใหม่ ทำให้ Fed จะลดดอกเบี้ยได้ช่วงปลายปี ขณะที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่น ๆ เงินเฟ้อต่ำกว่าสหรัฐ จึงลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่า นโยบายการเงินที่แตกต่างระหว่างสหรัฐและประเทศอื่นทั่วโลกทำให้เงินสกุลอื่นทั่วโลกอ่อนค่าลงแรง และเป็นความเสี่ยงต่อสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้าย สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่แรงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในปัจจุบัน ทำให้เราปรับการคาดการณ์การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก โดยเราเชื่อว่า Fed จะลดดอกเบี้ยได้เพียง 2 ครั้ง ในการประชุมเดือน พ.ย. และ ธ.ค. ขณะที่ ECB จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ณ สิ้นไตรมาส 2-4 ส่วน BoJ และ BoT จะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน เราปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยอยู่กรอบล่างที่ 2.5% ของประมาณการ มี.ค. โดยเรามองว่า (1) ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ทำให้ภาระของกองทุนน้ำมันมีมากขึ้น ราคาน้ำมันในประเทศจึงอาจปรับเพิ่มขึ้นบ้าง (สมมุติฐานราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1 บาท) (2) นโยบายการเงินที่ยังคงตึงตัว และไม่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ (3) การเบิกจ่ายนโยบายการคลังที่ต่ำกว่าคาด เพราะภาครัฐจะนำเงินไปใช้ในโครงการ Digital Wallet (DW) โดยเราให้ DW เป็น Upside risk ของเศรษฐกิจไทย เราจับตา 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ ที่มาของแหล่งเงินทุน DW และการเบิกจ่ายภาครัฐ โดยแหล่งที่มาของเงินทุน DW นั้น มาจาก 3 แหล่ง ได้แก่ (1) การขยายกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 วงเงิน 152,700 ล้านบาท ซึ่งเรามองว่า อาจไม่สอดคล้องกับม. 6, 7, 9 และ 49 พรบ.วินัยการเงินการคลัง (2) ดำเนินการผ่าน ธ.ก.ส. วงเงิน 172,300 ล้านบาท ซึ่งเรามองว่า อาจติดในประเด็นมาตรา 9 ของ พรบ. ธ.ก.ส. และ (3) บริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วงเงิน 175,000 ล้านบาท ซึ่งหากภาครัฐต้องการ 1.75 แสนล้านบาท แปลว่าการเบิกจ่าย 3Q23 จะล่าช้า เพื่อกันเงินทำ DW ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 แย่ลงกว่าคาด |
ท่าน สามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก Macro making sense 240422_T |