เนื้อหาโดยรวม
ช่วงสั้นมอง SET เคลื่อนไหวในกรอบ หลังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ เน้นลงทุนหุ้นมี ESG เรทติ้งดี |
สองสัปดาห์ที่ผ่านมา SET ปรับลง 1.18% โดยปัจจัยในประเทศ แม้ กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี และ S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ BBB+ และคง Outlook ในระดับมีเสถียรภาพ แต่ กนง. มีการปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อลงรุนแรง อีกทั้งตลาดยังกังวลการปรับขึ้นค่าไฟและค่าจ้างขั้นต่ำจะกระทบต้นทุนการผลิต ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ แม้ตัวเลขเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอลง โดยเฉพาะ PMI ของยุโรป ญี่ปุ่นและจีน อีกทั้งเงินเฟ้อสหรัฐและยุโรปล่าสุดลดลงกว่าคาด ทำให้มีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยมีมากขึ้น แต่ตลาดกังวลจีนมีความเสี่ยงมากขึ้นหลัง Moody’s ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือพันธบัตรรัฐบาลจีนเป็น Negative หลังรัฐบาลประกาศอัดฉีดมาตรการการคลัง ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลต่ออุปสงค์น้ำมันกดดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวลง ทั้งนี้หุ้นที่มีแรงขายหนักและปรับตัวลงแรง อาทิ TRUE BANPU PTTEP CPAXT RATCH COM7 CPALL AOT โดยนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิใน SET ราว 1.07 หมื่น ลบ. เรามองช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยอยู่ในบรรยากาศการลงทุนที่จะเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว และมีโอกาสได้รับเม็เงินลงทุนในกองทุน TESG ที่กำลังจะทยอยเข้ามาในเดือน ธ.ค. นี้ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ดังนี้ ช่วงสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัยจากแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลซึ่งจะมีการประชุม ครม. 12 ธ.ค. นี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA) ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG) |
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก Biweekly Portfolio Strategy 231212_T |