เนื้อหาโดยรวม
ช่วงสั้นมอง SET เคลื่อนไหวในกรอบ หลังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ เน้นลงทุนหุ้นมี ESG เรทติ้งดี |
สองสัปดาห์ที่ผ่านมา SET ปรับขึ้นเพียง 0.6% โดยแม้สัปดาห์แรกตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวได้ดี เนื่องจากมีปัจจัยบวกทั้งจากเงินเฟ้อสหรัฐ ต.ค. ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด, มีความคาดหวังการจัดตั้งกองทุน TESG จะกระตุ้นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ระยะยาว, Fitch ประกาศคงอันดับและมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย และนายกฯ ประกาศความร่วมมือทางยุทธศาสตร์กับ Google และ Microsoft พร้อมลงทุนในไทยกว่า 2 แสนลบ. แต่อย่างไรก็ดี สัปดาห์ก่อน SET พลิกปรับตัวลง หลัง GDP ไทย 3Q66 ออกมาต่ำกว่าคาด, กังวลรายงานการประชุมเฟดรอบที่ผ่านมาไม่ได้ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อีกทั้งสายการบินจีนยกเลิกการจองสลอตการบินและ Ground Service หลังตัวเลขนักท่องเที่ยวไม่เข้าเป้า โดยมีความต้องการเพียง 40-50% ของศักยภาพ จึงทำให้มีแรงขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง นำโดย AOT BBL CPALL BDMS PTTEP ADVANC JMT COM7 HANA BH KTB โดยที่ Fund Flow ยังไหลออกจาก SET ต่อเนื่อง ทั้งนี้สองสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิใน SET ราว 4.3 พัน ลบ. เรามองช่วงสั้น SET จะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ โดยการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. ในวันที่ 29 พ.ย. นี้ ตลาดและเราคาดจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.50% ขณะที่คาดจะเริ่มมีเม็ดเงินลงทุนในกองทุน TESG ทยอยเข้ามาหลัง บลจ. เริ่มขายตั้งแต่ 1 ธ.ค. นี้ ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่ตลาดหุ้นไทย ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้ ช่วงสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัยจากแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลซึ่งจะมีการประชุม ครม. 12 ธ.ค. นี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU AU) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH SPALI SIRI QH AP) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA KCE) ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG) |
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก Biweekly Portfolio Strategy 231127_T |