เนื้อหาโดยรวม
คาด SET ในเดือน ก.พ. เข้าสู่การปรับฐาน หลังดัชนีปรับขึ้นมาต่อเนื่อง และซึมซับปัจจัยบวกจีนเปิดประเทศ และเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ยไปมากแล้ว ขณะที่ตลาดขาดปัจจัยหนุนใหม่ แต่เริ่มมีปัจจัยลบจากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยจากผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ คาดว่ายังมีแรงขายทำกำไร ในช่วงประกาศงบฯ เข้ามาเป็นอีกปัจจัยกดดัน ด้านดัชนีมีกรอบบนจำกัดที่แนวต้าน 1690-1700 จุด ส่วนกรอบล่างที่มีแนวโน้มปรับตัวลงมาหาอยู่ที่แนวรับ 1650-1660 จุด
ภาพรวมตลาด ม.ค. – แนวโน้มตลาด ก.พ.
คาด SET ในเดือน ก.พ. เข้าสู่การปรับฐาน หลังดัชนีปรับขึ้นมาต่อเนื่อง และซึมซับปัจจัยบวกจีนเปิดประเทศ และเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ยไปมากแล้ว ขณะที่ตลาดขาดปัจจัยหนุนใหม่ แต่เริ่มมีปัจจัยลบจากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยจากผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ คาดว่ายังมีแรงขายทำกำไร ในช่วงประกาศงบฯ เข้ามาเป็นอีกปัจจัยกดดัน ด้านดัชนีมีกรอบบนจำกัดที่แนวต้าน 1690-1700 จุด ส่วนกรอบล่างที่มีแนวโน้มปรับตัวลงมาหาอยู่ที่แนวรับ 1650-1660 จุด
SET เดือน ม.ค. เคลื่อนไหวภายใต้ 1,700 จุด SET Index ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งเดือนแรก โดยได้ sentiment เชิงบวกจากการที่จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด ประกอบกับกระแสเงินไหลเข้าในภูมิภาคต่อเนื่อง ทำให้เกิดแรงซื้อในหุ้น Market Cap. ขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมากในช่วงก่อนหน้าจนเกิดภาวะ overbought ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าสุดในรอบกว่า 10 เดือน รวมทั้งแรงกดดันจากผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร และหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ทยอยประกาศออกมาต่ำกว่าคาด นอกจากนี้การที่ กนง. มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ 1.50% แต่ส่งสัญญาณ Hawkish ขึ้นหลังกลับมากังวลเงินเฟ้อ โดยรวมจึงเป็นปัจจัยฉุดรั้งการขยายตัวของตลาดหุ้นไทยให้ยังไม่สามารถทะลุผ่าน 1,700 จุดขึ้นไปได้
เดือน ม.ค. ต่างชาติซื้อสุทธิเป็นเดือนที่ 4 ที่ 1.8 หมื่นลบ. จากเดือนก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิ 1.3 หมื่นลบ. โดยเพิ่มสัดส่วนการถือครองในหุ้นกลุ่มธนาคาร ICT ปิโตรฯ แต่ลดสัดส่วนการถือครองในกลุ่มพลังงาน อสังหาฯ ขณะที่ performance ของดัชนี MSCI Thailand แย่กว่า MSCI APAC ex. Japan ในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ดีกว่าในช่วง 6 และ 12 เดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ในส่วนของประมาณการกำไรฯ ปี 2566 ของ SET นั้น consensus มีการปรับลง 8.94% เช่นเดียวกับจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ปรับลง 13.67%, 13.63%, 12.64%, 11.06% และ 10.36% ตรงข้ามกับไต้หวัน และเกาหลีใต้ ที่ปรับขึ้น 17.93%, และ 4.05% ตามลำดับ
จบการรายงานงบฯ 4Q65 กลุ่มธนาคาร เข้าสู่ภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) กำไรสุทธิ 4Q65 ของกลุ่มธนาคารลดลง 23%YoY และ 4%QoQ ต่ำกว่าคาดค่อนข้างมาก โดยมีการตั้งสํารองเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่ม LLR coverage ขณะที่ NPL คงที่ สินเชื่อทรงตัว NIM ขยายตัวดีกว่าคาด ส่งผลให้ทั้งปี 2565 กำไรสุทธิกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเพียง 9% สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 2566 คาดกำไรสุทธิของกลุ่มฯ จะเร่งตัวขึ้น 22% โดยคาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 5% NIM จะขยายตัว 24 bps credit cost จะลดลง 6 bps non-NII จะลดลง 3% และหลังจากนี้จะเข้าสู่การรายงานงบของหุ้น Real Sector ซึ่งจากการรวบรวมจากข้อมูลประมาณการของ Consensus จนถึงขณะนี้ (สิ้นเดือน ม.ค.) มีการทำ Earnings Preview แล้วราว 113 บริษัท ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ราว 1.13 แสนล้านบาท
ประเด็นสำคัญในเดือนนี้ ในประเทศ : 6 ก.พ. – อัตราเงินเฟ้อ (ม.ค.) ; 17 ก.พ. – GPP 4Q65 ต่างประเทศ : 1 ก.พ. –ประชุม FOMC, ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิต (ม.ค.), การจ้างงานภาคเอกชน (ม.ค.) ของสหรัฐ ; 2 ก.พ. –ประชุม ECB, ประชุม BoE ; 3 ก.พ. - การจ้างงานนอกภาคเกษตร, อัตราว่างงาน (ม.ค.), ดัชนี ISM PMI ภาคบริการ (ม.ค.) ของสหรัฐ ; 14 ก.พ. – อัตราเงินเฟ้อ (ม.ค.) ของสหรัฐ ; 15 ก.พ. – ยอดค้าปลีก (ม.ค.) ของสหรัฐ ; 16 ก.พ. – ดัชนีราคาผู้ผลิต (ม.ค.) ของสหรัฐ